ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 3 บทที่ 74 สตรีเห็นแล้วอยากหลั่งน้ำตา
เข้าสู่ช่วงฤดูฝนพรำ น้ำฝนมีปริมาณมาก เมื่อฝนตกหนัก ทั้งสามคนก็ต้องอยู่แต่ในบ้าน ไม่สามารถออกไปที่ใดได้
โชคดีที่ด้านสวนหลังบ้านยังมีปลา ต่อให้ไม่ออกจากบ้านหลายวันก็ไม่อดตาย
เซี่ยยวี่หลัวอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ จึงเก็บกวาดตัวบ้าน ทำความสะอาด ฝนตกติดต่อกันสามถึงสี่วัน เซี่ยยวี่หลัวกับเด็กสองคนก็ง่วนอยู่กับงานในบ้านสามถึงสี่วัน เก็บกวาดข้าวของทั้งหมดที่กองระเกะระกะ ของที่มีประโยชน์ก็นำมาใช้ ส่วนของที่ไม่มีประโยชน์ เซี่ยยวี่หลัวก็นำไปเผาต่างฟืนทั้งหมด
ความเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน ถึงแม้จะเป็นบ้านหลังเดิม แต่ภายในสะอาดเรียบร้อย ดูแปลกใหม่ มองแล้วรู้สึกเบื้องหน้าสว่างวาบ
สายฝนช่วงฤดูใบไม้ผลิค่อยๆหยุดตก ฟ้าสว่างในเช้าวันถัดไป แม้ว่าพื้นดินด้านนอกยังเป็นโคลนแฉะ แต่พระอาทิตย์ก็กลับมาฉายแสงอีกครั้ง
เซี่ยยวี่หลัวลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า หลังจากนั้นก็พาเซียวจื่อเมิ่งไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ ส่วนเซียวจื่อเซวียนรับผิดชอบหาบน้ำ มาเติมโอ่งน้ำในบ้านให้เต็ม
เซี่ยยวี่หลัวย่อตัวอยู่ริมแม่น้ำเพื่อซักเสื้อผ้า ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองด้วยอาการตาค้างพูดไม่ออก
เซี่ยยวี่หลัวคนนั้น เปลี่ยนเป็นภรรยาที่ดีเป็นมารดาผู้โอบอ้อมอารีจริงหรือนี่ แม้แต่ท่าทางหยิ่งยโสไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ก็เพลาลงมากแล้ว
หลังจากนางลดความหยิ่งผยองและทะนงตน สีหน้าจึงดูอบอุ่นอ่อนโยนขึ้น ตอนนี้นางและเซียวจื่อเมิ่งกำลังย่อตัวอยู่ริมแม่น้ำเพื่อซักผ้า ดวงหน้าของนางดูอ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิในเดือนสามอย่างไรอย่างนั้น คลื่นน้ำที่สะท้อนแสงระยิบระยับสะท้อนภาพใบหน้าด้านข้างที่งดงามและรูปร่างอรชรของนาง อย่าว่าแต่บุรุษเลย กระทั่งสตรีด้วยกันก็ไม่อาจละสายตาได้
บุรุษเห็นแล้วอยากล่วงละเมิด สตรีเห็นแล้วอยากหลั่งน้ำตาจริง ๆ
ยังดีที่สตรีผู้นี้ถึงจะงดงามเหมือนเคย แต่ไม่ใช่ความงามที่แฝงเร้นด้วยความชั่วร้ายเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว นั่นทำให้สตรีจำนวนมาก มองเซี่ยยวี่หลัวต่างไปจากเดิมไม่น้อย
อย่างไรเสีย สตรีผู้นี้ก็งดงามอย่างแท้จริง เส้นผมสวย ผิวพรรณดี รูปร่างงาม ไม่รู้จริง ๆ ว่านางบำรุงอย่างไร
ต่างก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน จะมีความโกรธแค้นที่ไม่อาจสะสางได้อย่างไร ต่างก็ซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำสายเดียวกัน ความสัมพันธ์ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้นไปโดยปริยาย
หลิวซี่เหลียนภรรยาของเซียวลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น นางเหลือบมองเซี่ยยวี่หลัวแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ช่างงดงามจนนางอยากจะกลายเป็นบุรุษเลยทีเดียว
นางขยับเข้าไปใกล้เซี่ยยวี่หลัวทีละก้าว ก่อนเอ่ยถาม “ภรรยาเซียวยวี่[1] เจ้าใช้อะไรล้างหน้างั้นหรือ เหตุใดผิวถึงดีเหมือนไข่ที่กะเทาะเปลือกออกอย่างไรอย่างนั้น?”
เซี่ยยวี่หลัว ที่แต่เดิมก็อยากสร้างสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้านในหมู่บ้านอยู่แล้ว นางยิ้มพร้อมกล่าว “มีเคล็ดลับจริง ๆ ตอนแดดออก หากออกจากบ้าน พยายามอย่าออกบ้านด้วยหน้าเปล่า ถ้าไม่ใส่หมวกสักหนึ่งใบ ก็ใส่ผ้าปิดหน้า เพื่อปิดบังใบหน้าไว้ เพราะแดดจะทำร้ายผิวหน้าของเราได้ ทำให้ทั้งดำทั้งหยาบ”
หลิวซี่เหลียนได้ฟังดังนั้น ก็ตกใจจนรีบจับใบหน้า “อะไรนะ? ตากแดดก็ไม่ได้งั้นหรือ?”
โอ้สวรรค์ นางตากแดดมาตั้งกี่ปี มิน่าล่ะผิวถึงหยาบกร้าน ทั้งยังดำอีกต่างหาก!
ขณะที่กำลังคุยกัน ข้างๆ ก็มีคนได้ยินเซี่ยยวี่หลัวที่กำลังแบ่งปันประสบการณ์ดูแลรักษาผิวพรรณ ทุกคนต่างหยุดงานในมือ ทำหูผึ่งรอฟังเซี่ยยวี่หลัวพูด
“ใช่แล้ว เพราะหากแดดแรงเกินไป ก็จะทำให้ผิวของเราแห้ง เช่นเดียวกับในฤดูร้อน ผิวก็จะกลายเป็นสีดำ แต่ในฤดูหนาวเราสวมใส่เสื้อผ้าชั้นหนา ผิวก็จะทั้งขาวทั้งเนียน ใช่หรือไม่?”
ที่เซี่ยยวี่หลัวกล่าวมามีเหตุผลมาก คนจำนวนไม่น้อยต่างก็พยักหน้า “ใช่ ใช่ ใช่”
“ดังนั้น เวลาเราออกจากบ้าน ต้องใส่หมวกเพื่อบังใบหน้าไว้ หรือไม่ก็ใส่ผ้าปิดหน้า อย่าให้ผิวหน้าโดนแดดโดยตรง เมื่อผิวหน้าไม่โดนแดดโดยตรง ผิวก็จะทั้งขาวและเนียนราวกับอยู่ในฤดูหนาว!” เซี่ยยวี่หลัวกล่าว
แค่บอกต่อความรู้เกี่ยวกับการป้องกันแสงแดด แก่สตรีในยุคโบราณเท่านั้น ไม่สามารถพูดเกี่ยวกับแสงอัลตร้าไวโอเล็ต หรือแสงสีฟ้าได้ ทว่า ยุคสมัยนี้สภาพอากาศและสภาพแวดล้อมยังดีมาก แสงเหนือม่วงไม่ได้รุนแรงเท่าไร อันตรายจากแสงแดดจึงไม่หนักหนามากนัก
ในตอนนี้เอง สตรีอีกคนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างนักเอ่ยถาม “ภรรยาเซียวยวี่ แล้วขี้ผึ้งทาหน้าที่วางขายตามถนนมีประโยชน์หรือไม่? มีประโยชน์มากใช่ไหม ข้าเห็นผิวของคนจากตระกูลใหญ่ดีกว่าผิวของพวกเรามากทีเดียว!”
แน่นอนอยู่แล้ว เพราะคนเขาไม่ต้องทนลำบากตากแดดตากฝน ได้กินทั้งของดี และได้รับการบำรุงอย่างดี ผิวพรรณย่อมดีมากอยู่แล้ว
“มีประโยชน์แน่นอน หลังจากทาขี้ผึ้งหอม โดนลมผิวจะไม่แตก ตากแดดก็ยังดีกว่าเราไม่ทาอะไรเลย อย่างน้อยใบหน้าพวกนางก็ทาบางอย่างไว้หนึ่งชั้น หากแดดจะเผา ก็จะเผาขี้ผึ้งหอมชั้นนั้นก่อน!”
เซี่ยยวี่หลัวอยากกล่าวอ้างถึงครีมกันแดดในภพก่อนเหลือเกิน!
เฮ้อ อีกไม่นานก็จะถึงฤดูร้อนแล้ว ไม่มีครีมกันแดด หากต้องออกจากบ้าน ผิวหนังที่ขาวผ่องดุจหิมะของนาง เกรงว่าคงต้องถูกแดดเผาจนดำ
วาจาของเซี่ยยวี่หลัว ทำให้ทุกคนพยักหน้าเห็นพ้องต้องกันอย่างอดไม่ได้ หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้าน ทุกคนก็รีบรื้อค้นหมวกในบ้านออกมา บางคนที่รังเกียจหมวกฟางเพราะดูไม่ดี ก็ยังใส่มันไว้ เพราะอย่างไรเสีย ถึงแม้หมวกฟางจะดูไม่สวย แต่ก็ช่วยบังใบหน้าไว้ได้!
ผู้คนในหมู่บ้านจึงเกิดความนิยมในการใส่หมวกขึ้นมา
เซี่ยยวี่หลัวเองก็ต้องกันแดด แม้ว่าแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิจะไม่ร้อนเหมือนในฤดูร้อน แต่ก็มีรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตมากเหมือนกัน! และหากประมาทเพราะเห็นว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ ผิวก็จะดำได้ง่ายกว่าเดิมเสียอีก
โชคดีที่ในบ้านมีหมวกฟางใบหนึ่ง เซียวจื่อเซวียนบอกว่าเมื่อก่อนพี่ใหญ่ของเขาเคยสวมใส่ตอนทำงาน เป็นหมวกฟางที่ทั้งเก่าและขาด
หมวกเก่าจนมีคราบสีเหลืองดำ มองแค่ครั้งเดียวก็ไม่อยากมองอีกเป็นครั้งที่สอง แทบอยากจะทิ้งไปทันที ก่อนหน้านี้เซี่ยยวี่หลัวคิดจะเผามันทิ้งจริง ๆ แต่หลังจากคิดดูก็ไม่ได้เผา
นี่เป็นหมวกฟางเพียงใบเดียวที่มีในบ้าน ถ้าถึงเวลาต้องใช้จริง เช่นนั้นนึกเสียดายภายหลังก็ไม่ทันแล้ว
ตอนนี้เซี่ยยวี่หลัวต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้อย่าว่าแต่เงินหนึ่งอิแปะเลย บนตัวนางไม่มีเงินแม้แต่ครึ่งอิแปะ
โชคดีที่ในบ้านยังมีเศษผ้าเหลืออยู่ เซี่ยยวี่หลัวที่มีฝีมือประณีต จึงใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม เปลี่ยนหมวกฟางให้กลายเป็นหมวกดอกไม้
นางใช้ผ้าสีฟ้าเย็บคลุมให้ทั่วหมวกฟางทั้งใบ จากนั้นใช้แถบผ้าสีเหลืองผูกเป็นหูเตี๋ยเจี๋ย[2]เย็บติดไว้บนหมวก ทำให้หมวกที่ทั้งเก่าและขาด ด้วยฝีมืออันประณีตของนาง ก็แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์
เซียวจื่อเมิ่งเห็นว่าพี่สะใภ้ใหญ่เปลี่ยนให้หมวกฟางเก่าใบหนึ่งกลายเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง ก็ตื่นเต้นดีใจและสวมหมวกออกไปโอ้อวดทันที
เมื่อเด็กเล็กได้ของดีมา ใครบ้างไม่ชอบโอ้อวดให้คนอื่นดู เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้ห้ามนาง ปล่อยให้นางไป
แม้ว่าเมื่อก่อนเซียวจื่อเมิ่งจะเคยเป็นคุณหนูในตัวเมือง แต่เพราะบิดามารดาจากนางไปเร็ว นับตั้งแต่จำความได้ก็ใช้ชีวิตอยู่แต่ในหมู่บ้าน จึงไม่มีอุปนิสัยเหมือนคุณหนูในตัวเมืองเลยแม้แต่น้อย เป็นเด็กน้อยเรียบง่ายจิตใจดี เหมือนเด็กผู้หญิงจากชนบทไม่มีผิด
ในหมู่บ้านมีเด็กที่อายุไล่เลี่ยกับนางอยู่หลายคน ประมาณหกขวบ โบราณว่าไว้ เด็กจากครอบครัวยากจนจะมีความรับผิดชอบตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาอายุเพียงเท่านี้ ก็เรียนรู้การทำงานในไร่นา และการทำงานบ้านงานเรือนนานแล้ว หายากนักที่จะมีเวลาออกมาเล่น
ปกติเซียวจื่อเมิ่งเองก็ต้องทำงานบ้าน ทำให้นางเองก็ไม่มีโอกาสได้ออกไปเล่น
แต่มีเด็กคนหนึ่งที่ชื่อเสี่ยวฮวา ฐานะทางบ้านของนางถือว่าไม่เลว มีพี่ชายอายุแปดขวบคนหนึ่งชื่อต้าจ้วง อายุเท่าเซียวจื่อเซวียน พาเสี่ยวฮวาเล่นซนในหมู่บ้านทั้งวัน ก่อกวนชาวบ้านจนเกิดความวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้น อาจเพราะอยู่ที่บ้านมีผู้ใหญ่คอยตามใจ จึงเป็นเด็กที่เย่อหยิ่งและอวดดี กล่าวอะไรก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เด็กๆ ในหมู่บ้านต่างก็ไม่ชอบเล่นกับพวกเขา
จื่อเมิ่งใส่หมวกไปหาบน้ำที่ริมแม่น้ำกับพี่รอง หมวกสีฟ้าที่มีหูเตี๋ยเจี๋ยสีเหลืองขนาดใหญ่ที่นางสวมอยู่ ดูสะดุดตายิ่งนัก เสี่ยวฮวาเห็นเข้าพอดี
เชิงอรรถ
[1] รูปแบบการเรียกชื่อของคนจีนในกลุ่มชาวบ้าน สามารถบ่งบอกถึงระดับความสัมพันธ์ รวมถึงอารมณ์ระหว่างการสนทนาได้ โดยเฉพาะการเรียกสตรีที่แต่งงานแล้ว ชาวบ้านชนบทจะไม่เรียกฮูหยิน แต่จะเรียกว่าภรรยาตามด้วยชื่อสามี หรือเรียกแม่ตามด้วยชื่อลูก (เช่น ภรรยาเซียวยวี่ แม่เสี่ยวฮวา) ต่างจากการเรียกชื่อเต็ม ที่จะบ่งบอกถึงความห่างเหินชัดเจนและมีเจตนาส่อไปในทางลบมากกว่า ในทางตรงกันข้าม หากมีความสนิทสนมกันมากก็จะเรียกชื่ออย่างเดียว (เช่น ยวี่หลัว อาหลัว)
[2] หูเตี๋ยเจี๋ย หมายถึงโบว์รูปผีเสื้อ