ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 4 บทที่ 100 เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าแซ่ซ่ง
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 4 บทที่ 100 เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าแซ่ซ่ง
หลายวันนี้ฝนตกหนัก ขณะนี้อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้น ผักตี้เอ่อในเวลานี้ดูดน้ำไว้เต็มที่ เป็นช่วงที่ตัวผักอวบอิ่มที่สุด
เซียวจื่อเซวียนเคยเห็นเจ้าสิ่งนี้ หลังจากฝนตกและอากาศอุ่นขึ้น ตามคันนาก็จะมีเจ้านี่ขึ้นไม่น้อย เพียงแต่เจ้าสิ่งนี้มีแต่คนเหยียบผ่าน ไม่มีคนกินมัน
ทว่า เมื่อเห็นท่าทางดีอกดีใจของพี่สะใภ้ใหญ่ เซียวจื่อเซวียนก็รีบช่วยเก็บ
พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่ากินได้ เช่นนั้นย่อมกินได้แน่นอน
ตามคันนามีผักตี้เอ่ออยู่ไม่น้อย ทั้งสามคนก้มตัวเก็บตลอดช่วงเช้า เก็บได้เพียงครึ่งตะกร้า
หลังจากกลับบ้าน ก็ล้างผักตี้เอ่อจำนวนหนึ่ง เซี่ยยวี่หลัวตอกไข่สองฟอง ทำผักตี้เอ่อผัดไข่ ใส่ซีอิ๊วทำน้ำแกงจำนวนหนึ่ง เด็กสองคนกินข้าวสองชามกับอาหารชนิดนี้ ก็ยังรู้สึกไม่หนำใจ
“พี่สะใภ้ใหญ่ ผักตี้เอ่อนี่อร่อยเหลือเกินขอรับ ข้ากินหมดแล้วจะไปเก็บมาอีก! ” เซียวจื่อเซวียนคิดไม่ถึงเลย ว่าของที่เมื่อก่อนพวกเขามองข้ามจะสามารถนำมาทำเป็นอาหารรสเลิศเช่นนี้ได้ จึงตัดสินใจว่าจะเก็บกลับมามากขึ้นอีก
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า “อืม ช่วงบ่ายเราเก็บมาให้มากๆ ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะไปในตัวเมือง”
เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งผงะไป “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะไปในตัวเมืองทำไมงั้นหรือขอรับ? ”
เซี่ยยวี่หลัวคีบผักให้เด็กสองคน “เก็บผักตี้เอ่อให้มากหน่อย ข้าจะลองไปดูในตัวเมืองว่าจะขายได้หรือไม่”
ผักตี้เอ่อสามารถเก็บได้ตลอดปี ขอเพียงเป็นสถานที่ที่มีดินโคลน ผักตี้เอ่อก็สามารถขึ้นได้ ดีกว่าผักหลีฮาวที่เก็บเกี่ยวได้เพียงครึ่งเดือนกว่ามากทีเดียว
ในเมื่อคนในยุคสมัยนี้ต่างไม่รู้ว่าควรกินผักตี้เอ่ออย่างไร เช่นนั้นอาหารใหม่ชนิดนี้ ขอเพียงออกวางขาย ต้องได้รับความนิยมแน่นอน
สิ่งที่นางอยากขายไม่ใช่ผักตี้เอ่อ ถึงอย่างไรอาศัยนางเพียงคนเดียว ก็เก็บผักตี้เอ่อได้ไม่มาก ถึงเวลาหากคนอื่นรู้เข้าว่าของสิ่งนี้ทั้งกินได้และนำไปขายได้ นางก็จะหมดโอกาส
แต่หากสามารถขายสูตรอาหารของผักตี้เอ่อได้ เมื่อมีสูตรอาหาร ภัตตาคารในตัวเมืองก็สามารถรับซื้อผักตี้เอ่อ หากสามารถเจรจากับภัตตาคารได้สำเร็จ ผักตี้เอ่อชุดแรกให้นางเป็นคนจัดหาให้ คาดว่าคงหาเงินได้ไม่น้อย
เมื่อเซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งได้ฟังว่าจะไปในตัวเมือง ต่างก็รู้สึกดีใจ พี่สะใภ้ใหญ่จะไปในตัวเมือง พวกเขาก็จะได้ไปด้วย
ทั้งสามคนรับประทานอาหารเสร็จ ก็รีบทำความสะอาดชามกับตะเกียบ ก่อนจะหิ้วตะกร้าออกบ้านไป
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน มืดจนมองไม่เห็นอะไรแล้ว ทั้งสามคนจึงรีบกลับบ้าน
ทั้งสามคนเก็บผักตี้เอ่อได้สองตะกร้าเต็ม
เซี่ยยวี่หลัวกลับบ้านแล้ว จึงล้างทำความสะอาดผักตี้เอ่อ
อาหารเย็นยังคงไม่ธรรมดา มีข้าวหุง กินกับหน่อไม้สดใหม่ และผักตี้เอ่อผัดไข่ ทั้งสามคนกินจนอิ่ม หลังจากทานอาหารเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวยังคงหั่นหน่อไม้เป็นแผ่นบาง ต้มเสร็จแล้วจึงตากไว้บนกระด้ง เดิมทีนางคิดอยากทำหน่อไม้ดอง แต่ภายในบ้านไม่มีโถหมัก จึงได้แต่ปล่อยไป
โชคดีที่พรุ่งนี้ก็จะได้เข้าไปในตัวเมือง นางคิดจะไปซื้อโถหมักกลับมาจำนวนหนึ่งเพื่อทำหน่อไม้ดอง ต้มหน่อไม้ไปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็เก็บไว้ พรุ่งนี้ค่อยทำหน่อไม้ดอง
หลังจากทำเสร็จแล้ว ทั้งสามคนจึงอาบน้ำเข้านอน
เช้าวันต่อมาฟ้ายังไม่สว่าง เซี่ยยวี่หลัวก็ตื่นแต่เช้ามาต้มน้ำแกงไข่ใส่ผักตี้เอ่อ แล้วจึงจี่แผ่นแป้งใส่ไข่ ทั้งสามคนดื่มน้ำแกงชามใหญ่ตอนยังร้อนๆ และกินแผ่นแป้งใส่ไข่คนละหนึ่งชิ้น หิ้วตะกร้าไปในตัวเมืองในช่วงย่ำรุ่ง
เมื่อไปถึงในตัวเมือง ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง
ทั้งสามคนเดินมาตลอดทาง บนกายมีเหงื่อซึมชื้น เสื้อซับในของเด็กสองคนเต็มไปด้วยคราบเหงื่อ เซี่ยยวี่หลัวพกผ้าขนหนูสะอาดมาหลายผืน นำมาพันแนบตัวถึงด้านหลัง
ผ้าขนหนูแห้งสะอาดขวางกั้นเสื้อซับในที่เปียกเหงื่อไว้ จากนั้นเซี่ยยวี่หลัวจึงนำผ้าเช็ดหน้าช่วยซับเหงื่อให้เด็กสองคน ตนเองก็ซับเหงื่อ เมื่อเสร็จแล้วจึงเก็บผ้าเช็ดหน้าให้เรียบร้อย
ทั้งสามคนเข้าไปในตัวเมือง
สองข้างทางบนถนนกว้างเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านจำนวนไม่น้อยต่างเปิดแล้ว นอกจากนั้น ยังมีผู้คนมากมายตั้งแผงขายของตรงหน้าร้าน ขายของต่างๆ นานา
ตรงนี้เป็นจุดผ่านเพื่อเข้าตัวเมือง ถนนสายนี้เป็นสถานที่ที่คับคั่งไปด้วยผู้คนและเจริญที่สุดในตัวเมือง
ภัตตาคารน่าจะอยู่ในละแวกนี้
เซี่ยยวี่หลัวหิ้วตะกร้าสองใบ เซียวจื่อเซวียนจูงมือเซียวจื่อเมิ่งตามหลังนางติดๆ เดินไปพลางถามไปพลาง
สุดท้าย ทั้งสามคนจึงมาถึงภัตตาคารแห่งหนึ่ง
เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่หน้าภัตตาคาร แหงนหน้ามองดู จึงเห็นป้ายชื่อภัตตาคาร
‘เซียนจวีโหลว’
เป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดในตัวเมือง ตัวอักษรบนป้ายดูสง่างามยิ่ง อาคารเล็กสามชั้นตกแต่งอย่างหรูหรา ขณะนี้ไม่ใช่ช่วงเปิดบริการ ประตูหน้ายังไม่เปิด เซี่ยยวี่หลัวจูงมือเด็กสองคน เดินไปยังด้านหลังของภัตตาคาร
เทียบกับความเงียบสงบด้านหน้า เวลานี้ด้านหลังคึกคักมาก
มีรถม้าจำนวนไม่น้อยหยุดจอดอยู่ในตรอกด้านหลัง ผู้คนเดินกันขวักไขว่ มีทั้งคนที่กำลังชั่งน้ำหนัก ทั้งคนที่กำลังขนย้ายสินค้า แต่ละคนสวมใส่ชุดเสี่ยวเอ้อของภัตตาคาร ทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบ
ในกลุ่มคนมีชายหนุ่มสวมใส่ชุดจีนยาวสีครามหนึ่งคน กำลังออกคำสั่งให้เสี่ยวเอ้อสองคนชั่งน้ำหนัก เขารับผิดชอบดูตราชั่ง นับตัวเลข จากนั้นจึงคำนวณด้วยลูกคิด นับเงินจำนวนหนึ่ง มอบให้คนขายผัก
สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมมาก ดูพิถีพิถันยิ่งนัก
คนขายผักได้รับเงินแล้วจึงยิ้มพร้อมกล่าวว่า ขอบคุณท่านซ่ง ทว่าคนผู้นั้นไม่แย้มรอยยิ้มแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นผู้ดูแลหรือนายบัญชีของภัตตาคาร
ปกตินายบัญชีมักจะเป็นคนสูงวัยอายุสี่สิบถึงห้าสิบปีไม่ใช่หรือ คนผู้นี้ยังอ่อนเยาว์นัก อายุประมาณสิบแปดถึงสิบเก้าปี ท่าทางเหมือนบัณฑิต ดูอ่อนโยนและสง่ายิ่งนัก
ทั้งยังดูเข้มงวดมาก
เข้มงวดจนประหนึ่งว่า แม้แต่รอยยิ้มยังเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น
รถม้าเคลื่อนเข้ามาแล้วจึงเคลื่อนออกไปคันแล้วคันเล่า
เซี่ยยวี่หลัวเห็นว่ามีคนเยอะ จึงไม่ได้ไปรบกวน รออยู่ที่หัวมุมอย่างสงบ รอให้พวกเขาทำงานกันจนเสร็จ
หลังจากผ่านไปประมาณสองถ้วยชา รถคันสุดท้ายไปแล้ว สินค้าทั้งหมดถูกขนย้ายเข้าไป ชายหนุ่มผู้สวมชุดจีนยาวเก็บพู่กันและสมุดบัญชี กำลังจะเข้าไป
บ่าวรับใช้ที่ตามเขาอยู่ตลอดยกโต๊ะขึ้น ตามหลังเขาไป
“ท่านซ่ง…”
ซ่งฉางชิงหอบสมุดบัญชีกำลังจะเข้าประตู เมื่อได้ยินเสียงจึงหันกลับมา
เมื่อเห็นสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซ่งฉางชิงก็รู้สึกประหลาดใจ
เขาเป็นนายบัญชีของภัตตาคาร ทำงานที่ภัตตาคารตั้งแต่อายุสิบห้า พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามถึงสี่ปีแล้ว เขาเคยพบบุตรสาวตระกูลดัง หญิงผู้ดีจากตระกูลทั่วไป สตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ และนางรำที่ทรงเสน่ห์มาไม่น้อย มีทั้งคนที่รูปลักษณ์งดงามน่ารักและมีเสน่ห์ แต่เมื่อมองนางเพียงแวบเดียว สตรีงดงามที่เคยพบเห็นในอดีตล้วนกลายเป็นเพียงภาพฉากหลัง แต่ละคนแต่งตัวหรูหรางดงาม กลับเทียบไม่ได้กับหนึ่งในหมื่นของสตรีตรงหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมด้วยซ้ำ
ใต้คิ้วโก่งงามเป็นดวงตาคู่โตที่คล้ายจะสื่อเป็นถ้อยคำได้ ดำสนิทและใสบริสุทธิ์ประหนึ่งเครื่องแก้ว สันจมูกโด่งเล็กดูน่ารัก ด้านล่างเป็นริมฝีปากสีแดงชุ่มฉ่ำ มุมปากตวัดขึ้นแย้มรอยยิ้มบาง เผยให้เห็นฟันที่ขาวจนแทบเปล่งประกายแสง
นิ้วมือที่หิ้วตะกร้าทั้งเรียวและยาว ตัวสูงเล็กน้อย แต่ไม่ซูบผอม ตรงกันข้าม รูปร่างของนางดูงดงามอ่อนช้อย ทำให้มองแวบเดียวก็รู้สึกตกตะลึงในความงาม
ใช้คำว่างดงามอย่างมิอาจหาใดเปรียบมาบรรยายตัวนาง ไม่ถือว่าเกินจริงแม้แต่น้อย
ซ่งฉางชิงปราดสายตามองผ่านใบหน้าขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ก่อนจะกลับสู่สภาวะเย็นชาและเข้มงวดเหมือนเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว
เข้มงวดจนไม่มีกระทั่งรอยยิ้ม
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าแซ่ซ่ง? “
นางเรียกเขาว่าท่านซ่ง เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักเขา ทว่า…
ในความทรงจำของเขา ซ่งฉางชิงมั่นใจ ว่าเขาไม่เคยพบคนผู้นี้มาก่อน