ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 5 บทที่ 148 ปลูกเรือนเสร็จแล้ว
เมื่อเปิดผ้าสีแดงที่คลุมไว้บนคานเอก ด้านนอกก็มีเสียงประทัด “เปรี๊ยะเปรี๊ยะ” ดังสนั่นหวั่นไหว
ผู้คนต่างคึกคัก เซี่ยยวี่หลัวเห็นด้านนอกเต็มไปด้วยควันจากประทัด จึงหรี่ตาเล็กน้อย
มาที่นี่นานถึงเพียงนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ในบ้านมีคนมากมายถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่คึกคักเช่นนี้
ชาวบ้านที่นี่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย จิตใจดีงามและบริสุทธิ์ ถึงแม้จะมีคนที่คอยซุบซิบนินทาสร้างข่าวลืออย่างเถียนเอ๋อ มีคนเกียจคร้านเอาเปรียบอย่างเซียวเฉิงซาน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนดี
เมื่อกินเลี้ยงเสร็จ ชาวบ้านที่มาร่วมแสดงความยินดีต่างกลับกันแล้ว คนที่เหลืออยู่ มีเพียงสองสามีภรรยาเซียวจิ้งยี่ และช่างสร้างบ้านอย่างพวกเซียวหย่งและเซียววั่ง
อาหารที่พวกเขากินนั้นต่างจากอาหารจัดเลี้ยง บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและสุราชั้นดีที่เซี่ยยวี่หลัวฝากท่านลุงสี่ไปซื้อมา เพราะเซี่ยยวี่หลัวดื่มสุราไม่เป็น ย่อมต้องให้หัวหน้าหมู่บ้านเซียวช่วยดื่มกับทุกคน
เซี่ยยวี่หลัวกับกวั่นซื่อและเซียวจื่อเมิ่งจัดโต๊ะขนาดเล็กไว้ในห้องครัว
หลังจากทำความคุ้นเคยกันมาหลายวัน กวั่นซื่อชื่นชอบเซี่ยยวี่หลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
นางรินสุราหนึ่งจอก เซี่ยยวี่หลัวรินน้ำเปล่า หลังจากกวั่นซื่อดื่มสุรา สติก็เริ่มเลอะเลือนไม่แจ่มชัด จับมือเซี่ยยวี่หลัวพร้อมกล่าวไม่หยุด “ยวี่หลัว ครั้งนั้นที่เพิ่งพบเจ้า ทุกคนล้วนบอกว่าเจ้าหนุ่มเซียวยวี่นั่นวาสนาดีนัก ได้แต่งภรรยาที่งดงามประหนึ่งเทพธิดา พวกเราต่างคิดว่าเขาจะได้ใช้ชีวิตดีๆ แล้ว! เฮ้อ ใครจะรู้ว่าเจ้าเป็นคนไม่รู้จักใช้ชีวิตให้ดี! ในบ้านมีเรื่องวิวาทกันแทบทุกวี่ทุกวัน ในช่วงแรกข้ากับตาแก่ยังมาไกล่เกลี่ยให้ แต่ในภายหลังเจ้าด่ากระทั่งพวกข้า ด่าว่าพวกข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง หลังจากนั้นพวกเราจึงไม่มา คนอื่นๆ ก็เช่นกัน มาสักสองหนก็โดนเจ้าด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ทุกคนจึงไม่มากันอีกเลย! ”
ภายในห้องเหลือเพียงเซี่ยยวี่หลัวและกวั่นซื่อสองคน เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ออกไปเล่นอยู่ข้างนอก
เซี่ยยวี่หลัวได้ฟังวาจาของกวั่นซื่อ ใบหน้าขึ้นสีแดงทันที “ท่านป้า เมื่อก่อนข้า… ทำตัวแย่ถึงเพียงนั้นจริงหรือเจ้าคะ? ”
กวั่นซื่อเป็นคนคออ่อน ดื่มสุราสองคำก็วิงเวียนศีรษะ และพูดพร่ำไม่หยุดแล้ว “เจ้าไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าน่ะ เฮ้อ เซียวยวี่ถูกเจ้าด่าอย่างหนัก ไม่ว่าบุรุษคนใดล้วนโดนเจ้าด่าเช่นนั้น ใครจะทนไหว หากข้าเป็นเซียวยวี่ คงอยากหย่าขาดกับเจ้าเสีย! ”
เซี่ยยวี่หลัวคิดถึงหนังสือหย่าฉบับนั้นที่นางเก็บไว้ในตู้
นั่นเป็นหนังสือหย่าที่นางขอมาจากเซียวยวี่
เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้กล่าวอะไร มองดูกวั่นซื่อที่ดื่มจนได้ที่แล้ว จู่ๆ ก็เอ่ยถาม “ท่านป้า เหตุใดเซียวยวี่ต้องแต่งกับข้าเจ้าคะ? ”
“ก็เพราะบิดามารดาเซียวยวี่ สุดท้ายล้มป่วยด้วยโรคนั้น ใครๆ ก็ไม่กล้ามารักษา เซียวยวี่เป็นบุตรกตัญญู จะทนเห็นบิดามารดาเจ็บปวดจนตายอย่างนั้นได้อย่างไร จึงขอความช่วยเหลือไปทั่ว ใช้ทุกวิถีทาง ก็ยังหาหมอไม่ได้สักคน ในภายหลังท่านตาของเจ้ามาหาด้วยตัวเอง บอกว่ายินยอมรักษาให้บิดามารดาของเขา แต่มีเพียงเงื่อนไขเดียว คือรอให้เจ้าผ่านพิธีปักปิ่น*แล้ว ก็ให้เซียวยวี่แต่งเจ้าเข้ามา! ”
เป็นเช่นนี้เอง!
คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย คนหนึ่งเสมือนเมฆที่ลอยล่องอยู่บนฟ้า อีกคนเสมือนดินโคลนบนพื้นดิน หากไม่ใช่เพราะเหตุจากความจงใจของผู้อื่น จะมาอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
“เมื่อนั้นชื่อเสียงของเจ้าไม่ดีเอาเสียเลย! ” กวั่นซื่อเรอเพราะฤทธิ์สุรา ตาปรือด้วยความมึนเมา “ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ล้วนรู้จักเจ้า หน้าตาราวกับเทพธิดา คนที่ไปสู่ขอต่อให้มีไม่ถึงร้อยคน อย่างน้อยก็มีกว่าแปดสิบคน แต่ในภายหลังต่างก็ตกใจจนหนีไปกันหมด เพราะบิดามารดาของเจ้าเรียกสินสอดสูง เรียกทีก็ต้องการสินสอดถึงสองพันตำลึง น่าตกใจนัก! ”
เซี่ยยวี่หลัวฟังถึงตรงนี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “บิดามารดาของข้า? ”
“ใช่แล้ว พ่อแท้ๆ ของเจ้า กับแม่เลี้ยงของเจ้า เรียกสินสอดสูงถึงสองพันตำลึง ขาดแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ได้” กวั่นซื่อกล่าวด้วยความระอาใจ “เช่นนี้แต่งลูกสาวเสียที่ไหน ต่อให้ขายลูกสาวก็ไม่เคยเห็นคนขายราคาสูงขนาดนี้! ”
พ่อแท้ๆ กับแม่เลี้ยง?
เซี่ยยวี่หลัว “แล้วแม่แท้ๆ ของข้าเล่า? ”
“แม่แท้ๆ ของเจ้าสุขภาพร่างกายไม่ดี ได้ยินว่าแต่งงานหลายปีจึงมีเจ้า ในภายหลังก็ล้มป่วย จากโลกนี้ไปนานแล้ว! ” กวั่นซื่อกล่าว “ปีที่สองหลังจากแม่เจ้าตาย พ่อแท้ๆ ของเจ้าก็แต่งภรรยาคนใหม่ อุปนิสัยชั่วร้ายเสียยิ่งกว่ากระไร มักจะทารุณเจ้า ท่านตาของเจ้าทนดูต่อไปไม่ได้ จึงพาตัวเจ้าไป ชุบเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่ เดิมทีพ่อแท้ๆ และแม่เลี้ยงของเจ้าไม่อยากสนใจเจ้า แต่ใครจะคิดว่าเจ้ายิ่งโตก็ยิ่งงดงาม พวกเขาก็มีใจคิดไม่ซื่อ บอกว่าจะหาคู่ครองที่ดีให้เจ้า ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วกลับเอาเจ้ามาขาย! ”
“ดังนั้น ในภายหลังท่านตาของข้า ไม่อยากให้ข้าตกเป็นเครื่องมือหาเงินของท่านพ่อท่านแม่ จึงแอบยกข้าให้เซียวยวี่งั้นหรือเจ้าคะ? ”
“อืม พ่อแม่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าแต่งงานแล้ว วันที่สองก็มาอาละวาด ให้เซียวยวี่มอบเงินสองพันตำลึง” กวั่นซื่อคิดถึงเรื่องในตอนนั้น ก็กล่าวอย่างได้ใจยิ่งนัก “ผู้คนทั้งหมู่บ้านของเรา เวลานั้นสามัคคีกันนัก ท่านตาของเจ้าก็อยู่ที่นี่ตลอด ไม่ได้ไปไหน คนทั้งหมู่บ้านของเราและท่านตาของเจ้า ว่ากล่าวจนพ่อแท้ๆ และแม่เลี้ยงของเจ้าต้องกลับไปโดยไม่ได้อะไร นับแต่นั้นก็ไม่เคยมาอีก”
กวั่นซื่อกล่าวประโยคสุดท้ายจบ ก็หมอบอยู่บนโต๊ะนอนหลับไปแล้ว
นางเป็นคนคออ่อนจริงๆ
เดิมทีเซี่ยยวี่หลัวยังอยากถามเกี่ยวกับท่านตาของนางอีก ฟังจากคำบอกเล่าของกวั่นซื่อ นางสัมผัสได้ว่า ตอนนั้นคนเดียวที่รักนาง มีเพียงท่านตาของนางเท่านั้น
แต่ตอนนี้…
ในห้วงภวังค์ของนางไม่มีอะไรเหลือแม้แต่น้อย กระทั่งเรื่องที่ท่านตาของนางเป็นใคร อาศัยอยู่ที่ไหน ก็จำไม่ได้เลย
รวมถึงแม่แท้ๆ ที่นางจำไม่ได้แม้แต่น้อย
เซี่ยยวี่หลัวคิดถึงบิดามารดา ท่านปู่ท่านย่า ท่านตาท่านยายของตัวเอง พวกท่านล้วนแต่เป็นคนที่รักและเอ็นดูนางที่สุด แต่นางกลับข้ามมิติมายังยุคสมัยนี้ แล้วนางในยุคปัจจุบันเล่า?
ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว?
พ่อแม่มีนางเป็นลูกเพียงคนเดียว พวกท่านต้องเศร้าโศกเสียใจจนหัวใจแทบสลายเป็นแน่!
เซี่ยยวี่หลัวนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเซียวจื่อเซวียนเข้ามา
“พี่สะใภ้ใหญ่ ทำไมท่านถึงร้องไห้ขอรับ? ” เซียวจื่อเซวียนเข้ามา ก็เห็นพี่สะใภ้ใหญ่นั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น น้ำตาไหลอาบข้างแก้ม เซียวจื่อเซวียนตกใจจนหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากช่องอก
“จื่อเซวียน…”
เซียวจื่อเซวียนเรียกอยู่หลายครั้ง เซี่ยยวี่หลัวจึงตอบสนอง เมื่อเห็นเซียวจื่อเซวียน จึงรีบเอ่ยเรียก
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไปขอรับ? ไม่สบายตรงไหนใช่หรือไม่ เหตุใดท่านถึงร้องไห้ขอรับ? ” เซียวจื่อเซวียนขมวดคิ้ว เต็มไปด้วยประกายห่วงใย น้ำเสียงร้อนรนราวกับว่าเสี้ยววินาทีต่อไปก็จะร้องไห้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น!
ร้องไห้?
เซี่ยยวี่หลัวรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดขอบตา บนแก้มเปียกโชก นางร้องไห้แล้วจริงๆ
อาจเพราะคิดถึงพ่อแม่ของตัวเอง จึงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็เป็นได้!
“ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแค่ไม่ทันระวังจึงมีเม็ดทรายเข้าตา”
เม็ดทราย?
ในห้องครัวจะมีเม็ดทรายได้อย่างไร!
เซียวจื่อเซวียนไม่ได้กล่าวข้อกังขาออกมา แต่ภายในใจกลับตกใจกับท่าทางของเซี่ยยวี่หลัวเมื่อครู่นี้จนรู้สึกหวั่นใจนัก!
เชิงอรรถ
*พิธีปักปิ่น ในยุคสมัยโบราณ เมื่อหญิงสาวอายุ 15 ปีจะมีการจัดพิธีปักปิ่น เพื่อแสดงว่าหญิงสาวเติบโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมออกเรือนแล้ว