ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 6 บทที่ 167 ผู้ใหญ่สองคนต่างมีความคิดในใจ
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 6 บทที่ 167 ผู้ใหญ่สองคนต่างมีความคิดในใจ
ภายในห้องมีโต๊ะวางอยู่หนึ่งตัว เก้าอี้อีกจำนวนหนึ่ง และมีตู้เรียบง่ายหนึ่งตู้ บนตู้มีแจกันดินเผาโบราณวางไว้หนึ่งอัน ในนั้นมีดอกไม้ป่าสีแดงที่ไม่รู้ชื่อเรียกเสียบอยู่หนึ่งกิ่ง ข้างๆ มีกิ่งก้านสีเขียวเสียบอยู่อีกหนึ่งกิ่ง
บนกิ่งไม้มีใบไม้สีเขียวอยู่ไม่น้อย ลักษณะหยาบขรุขระ มีเพียงดอกไม้ป่าสีแดงขนาดเล็ก ที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางใบไม้ที่หยาบขรุขระ ดูงดงามมีเสน่ห์ เมื่อทั้งสองอยู่คู่กัน พอมองนานๆ กลับรู้สึกว่าทั้งสองต่างเสริมซึ่งกันและกัน
บนหน้าต่างมีม่านโปร่งสีขาวผ่องดุจหิมะแขวนอยู่ มุมหนึ่งของม่านโปร่งปักลายดอกไม้ป่าสีแดงไว้ ช่างดูสะดุดตานัก ภายในห้องมีเพียงเครื่องเรือนเรียบง่าย กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นและสงบใจ
เซี่ยยวี่หลัววางชามกับตะเกียบลง มองเซียวยวี่ด้วยอาการวางตัวไม่ถูก
ตั้งแต่เข้ามา ท่านราชบัณฑิตน้อยผู้นี้ก็เม้มริมฝีปากแน่นตลอด ไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
บางครั้งก็ขมวดคิ้วมุ่น บางครั้งก็เม้มริมฝีปากเบาๆ ท่าทางเหมือนมีเรื่องหนักอกหนักใจ
เผชิญหน้ากับศัตรูที่สังหารนางในนิยาย หากเซี่ยยวี่หลัวบอกว่าไม่กลัวนั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไร เมื่ออยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ไม่มีใครสามารถทำใจเย็นได้
เซียวยวี่กวาดสายตามองครู่หนึ่ง ก็มองทั่วทั้งห้องแล้ว เมื่อเก็บคืนสายตา ก็หันมาสบตาเซี่ยยวี่หลัวพอดี
สายตาของทั้งสองคนสบประสานกัน สีหน้าของเซียวยวี่ดูเย็นชา ทั้งยังแฝงเร้นด้วยประกายโกรธแค้นและคับข้องใจ จ้องมองเซี่ยยวี่หลัว ราวกับมีคำพูดมากมายอยากถาม แต่กลับไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
เซี่ยยวี่หลัว …
นางก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรกับเขา
ได้แต่เดินขึ้นหน้าเปิดฝาชีบนโต๊ะออก ยิ้มพร้อมกล่าว “คือ เดินทางมานานขนาดนี้ คงเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่? กินข้าวก่อน กินข้าวแล้วอาบน้ำนอนให้สบายสักตื่นหนึ่ง! ”
จากนั้นจึงตักข้าวให้ทุกคน เซียวจื่อเมิ่งคอยช่วยอยู่ข้างกายเซี่ยยวี่หลัวอย่างสนิทสนม เซียวจื่อเซวียนช่วยยกข้าว พูดคุยหัวเราะกับเซี่ยยวี่หลัว
ความสัมพันธ์ของพวกเขาสามคน… ดีถึงเพียงนี้แล้วงั้นหรือ?
วาจานับหมื่นนับพันผุดขึ้นในใจ แต่กลับถามไม่ออกแม้แต่คำเดียว ได้แต่นั่งลงกินข้าว
ภายในชามข้าวใส่ข้าวหุงไว้เต็มชามใหญ่ กับข้าวบนโต๊ะ มีปลา มีไข่ มีผัก อาหารการกินดีมากทีเดียว
เซี่ยยวี่หลัวตักน้ำแกงไข่ให้เด็กสองคนสองช้อนใหญ่ ทั้งยังคีบไข่ดาวให้คนละหนึ่งชิ้น เนื้อปลาส่วนท้องเป็นเนื้อที่ไม่มีก้างปลา เซี่ยยวี่หลัวคีบออกมาอย่างระมัดระวัง วางไว้ในจานเล็กข้างๆ ก่อนกล่าวกำชับ “ตอนกินปลาต้องกินอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่าในนั้นมีก้างปลาหรือไม่ เคี้ยวให้มากหน่อย อย่ากลืนลงไปพร้อมข้าว”
เด็กสองคนขานตอบด้วยท่าทางดีอกดีใจ เมื่อเห็นเซียวยวี่นั่งเหม่อไม่กินข้าว เซียวจื่อเซวียนกล่าวอย่างมีความสุข “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงไม่กินอาหารขอรับ? ท่านชอบกินปลาที่สุดไม่ใช่หรือขอรับ? ปลานี่พวกเราเลี้ยงไว้เอง เลี้ยงตั้งแต่ตัวเล็กแค่นี้จนตัวใหญ่เท่านี้ อร่อยมากทีเดียวขอรับ”
เขากล่าวไปพลางใช้มือแสดงท่าทางให้เห็นว่าก่อนหน้านี้ปลาตัวโตแค่ไหน
เซียวจื่อเมิ่งคีบถั่วแขกผัดแห้งให้เซียวยวี่ พร้อมกล่าวเสียงใส “พี่ใหญ่ ถั่วแขกนี่พวกเราปลูกเองเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ผัดได้อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ”
เด็กสองคนคีบกับข้าวคนละทีสองที ใส่จนพูนชามข้าวของเซียวยวี่
หลังจากใส่จนเต็มชามของเซียวยวี่แล้ว เด็กสองคนก็คีบผักให้เซี่ยยวี่หลัว ผ่านไปเพียงครู่เดียว ก็กองพูนจนเหมือนภูเขาลูกเล็กเหมือนกัน
ในชามข้าวของทั้งสี่คนมีกับข้าวพูนชาม เซี่ยยวี่หลัวเห็นแล้วแทบอยากหัวเราะ ถ้าเป็นปกติ นางคงหัวเราะนานแล้ว แต่มีท่านราชบัณฑิตน้อยที่เข้มงวดและเย็นชาอยู่ เซี่ยยวี่หลัวจึงไม่กล้า ได้แต่ก้มหน้ากินข้าว
เด็กสองคนย่อมรู้สึกดีใจ อย่างไรพี่ใหญ่ก็กลับมาแล้ว พูดคุยหัวเราะบนโต๊ะอาหาร เซี่ยยวี่หลัวตอบกลับเด็กสองคนเป็นครั้งคราว แล้วจึงก้มหน้ากินข้าวต่อ
อาหารมื้อนี้ น่าจะเป็นมื้อที่เซี่ยยวี่หลัวกลืนได้ยากที่สุดตั้งแต่มายังโลกใบนี้
เซียวยวี่ที่อยู่ตรงข้ามไม่ได้จ้องมองนางเป็นพิเศษ แต่เซียวยวี่ที่ในอนาคตจะเป็นราชบัณฑิตน้อย จะมีแรงกดดันไร้รูปร่าง แรงกดดันเช่นนี้ ทำให้เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกตึงเครียด
แต่เซียวยวี่นั้นต่างกัน อาหารมื้อนี้ เป็นอาหารที่มีรสชาติดีที่สุดเท่าที่เขาเคยกินในช่วงหลายเดือนนี้ และเป็นมื้อที่ทำให้เขารู้สึกคับข้องใจที่สุดด้วย
ภายในใจเขาเต็มไปด้วยข้อกังขามากมาย
นี่คืออาหารที่เซี่ยยวี่หลัวทำ?
นางสามารถทำอาหารที่รสชาติดีถึงเพียงนี้ด้วย?
นอกจากนั้น เหตุใดเด็กสองคนถึงสนิทสนมกับนางถึงเพียงนี้?
เซี่ยยวี่หลัวนะเซี่ยยวี่หลัว เจ้าคิดอยากทำอะไรกันแน่?
อาหารหนึ่งมื้อ เด็กสองคนกินอย่างมีความสุข ผู้ใหญ่สองคนต่างมีความคิดในใจ ความในใจมากมาย หลังจากกินข้าวเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้ให้เซียวจื่อเซวียนไปล้างชาม แต่ให้เขาพาพี่ใหญ่ไปเดินดูในบ้าน
เซียวจื่อเซวียนรู้สึกประหลาดใจนัก “พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านถึงไม่ไปขอรับ? ”
เซี่ยยวี่หลัว “คือ วันนี้มีชามกับตะเกียบค่อนข้างมาก ข้ากลัวว่าเจ้าจะล้างไม่ไหว”
“เอ๋? วันนี้ก็มีชามกับตะเกียบเพิ่มแค่ชุดเดียวไม่ใช่หรือขอรับ? ไม่ต่างจากปกตินี่นา! ” เซียวจื่อเซวียนเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย
เขายังคงยืนกรานจะไปล้างชาม เซี่ยยวี่หลัวไม่อยากอยู่กับเซียวยวี่ตามลำพัง จึงตามไปห้องครัวด้วย เช็ดตรงนี้ทีกวาดตรงนั้นที จงใจฆ่าเวลา
เซียวจื่อเมิ่งอยู่ในห้องกับเซียวยวี่
เซียวยวี่นำขนมที่ตัวเองซื้อกลับมาไปให้นาง “มา อาเมิ่ง นี่คือขนมที่พี่ใหญ่ซื้อมาให้เจ้า เจ้าเก็บไว้กิน”
ตอนนี้ขนมเป็นของว่างที่เซียวจื่อเมิ่งกินเป็นประจำแล้ว หากเมื่อก่อนนางเห็นขนม ตาทั้งคู่ต้องลุกวาวแน่ เวลานี้ได้กินเป็นประจำ ไม่ใช่ของหายากอีกต่อไป เซียวจื่อเมิ่งรับมา กล่าวขอบคุณพี่ใหญ่ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน จากนั้นจึงพิงอยู่ในอ้อมอกเซียวยวี่เพื่อออดอ้อน
บนศีรษะแม่หนูน้อยทำเป็นทรงซาลาเปากลมสองลูก เส้นผมสีดำเงางาม เพราะได้กินอาหารที่มีสารอาหาร เส้นผมจึงดูดี บนผมทรงซาลาเปามีแถบผ้าสีชมพูผูกอยู่ ไข่มุกสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะหนึ่งเม็ดแต่งแต้มให้ดูน่ารัก
ทรงผมที่ดูค่อนข้างซับซ้อนนี่ เซียวยวี่ไม่คิดว่าเซียวจื่อเซวียนเป็นคนทำให้
เซียวยวี่รู้สึกสงสัย ใช้ปลายนิ้วม้วนแถบผ้า พร้อมถามนาง “อาเมิ่ง ผมนี่ใครเป็นคนทำให้เจ้า? “
“พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ! ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส กล่าวด้วยท่าทางภาคภูมิใจเสียยิ่งกว่าอะไร “พี่สะใภ้ใหญ่ทำทรงผมสวยได้หลายแบบเลยเจ้าค่ะ ในหมู่บ้านไม่มีใครมีทรงผมสวยเท่าข้าเลย”
เซียวยวี่ “นางทำผมให้เจ้าทุกวัน? “
เซียวจื่อเมิ่งพยักหน้า “เจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ทำทรงผมสวยๆ ให้ข้าทุกวัน ทั้งยังตัดเย็บเสื้อสวยๆ ให้ข้า พี่ใหญ่ ท่านดูสิเจ้าคะ เสื้อที่ข้าสวมอยู่คือตัวที่พี่สะใภ้ใหญ่ทำให้ข้า พี่รองก็มี พี่ใหญ่ก็มีเจ้าค่ะ”
เขาก็มี?
เซียวยวี่ตกใจ “พี่ใหญ่ก็มี? “
“เจ้าค่ะ ดูดีมากทีเดียว” เซียวจื่อเมิ่งหัวเราะคิกคัก “พี่ใหญ่ เดี๋ยวท่านอาบน้ำเสร็จก็จะได้ใส่เสื้อตัวใหม่แล้ว อยู่ในห้องของท่านเจ้าค่ะ! “
นางกระโดดออกจากอ้อมอกของเซียวยวี่ ก่อนจะดึงมือเขา “พี่ใหญ่ ข้าจะพาท่านไปดูห้องของท่านเจ้าค่ะ”
พอเข้าประตู เตียงหนึ่งอันก็ปรากฏสู่สายตา บนเตียงมีผ้านวมสีเทา มุมหนึ่งปักใบไผ่สีเขียวมรกตไว้ ใบไผ่สีเขียวมรกตสดใส ราวกับเป็นของจริงก็มิปาน พอจะดูออกว่าช่างปักมีฝีมือประณีต
เปิดผ้านวมออก ผ้าปูเตียงด้านล่างก็เป็นสีเดียวกัน ยังมีหมอนอีกหนึ่งใบ มุมหนึ่งของหมอน ก็ปักใบไผ่สีเขียวมรกตสดใสไว้
เซียวจื่อเมิ่งกล่าวแนะนำด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว “พี่ใหญ่ พวกนี้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนทำให้ท่านเจ้าค่ะ ท่านดูสิ เป็นแบบเข้าชุดกัน ใบไผ่บนนี้พี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นคนปักเจ้าค่ะ”
นางเป็นคนปัก?
ฝีมือเย็บปักดีเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงไม่รู้?
“พี่ใหญ่ ตู้เสื้อผ้านี่พี่สะใภ้ใหญ่ให้คนช่วยทำขึ้นใหม่เจ้าค่ะ ในนั้นมีเสื้อใหม่ของท่าน รู้ว่าท่านใกล้กลับมาแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่จึงซักเสื้อผ้าทั้งหมดของท่านจนสะอาดและตากจนแห้งแล้ว” เซียวจื่อเมิ่งเปิดตู้เสื้อผ้า เซียวยวี่มองดู
ภายในตู้ใบใหม่ เสื้อผ้าถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบ วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ
ตรงกลาง เป็นสีที่เขาไม่เคยได้ใส่อีกเลยตั้งแต่มาถึงหมู่บ้านสกุลเซียว
ตัวหนึ่งเป็นสีคราม อีกตัวหนึ่งเป็นสีขาว
เสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเขาเป็นสีเทาดำ เพราะซักง่ายและเปื้อนยาก ทั้งยังหาซื้อง่าย ดังนั้นราคาจึงถูกมาก
เสื้อผ้าสองตัวที่มีสีนี้ น่าจะเพิ่งมีหลังจากเขาออกเดินทางแล้ว นี่ก็เป็นสิ่งที่เซี่ยยวี่หลัวเตรียมไว้ให้เขางั้นหรือ?
เซียวจื่อเมิ่งพาเขาเข้าไปอีกห้องหนึ่ง
หากบอกว่าห้องข้างนอกทำให้เขารู้สึกตกตะลึง เช่นนั้นพอเข้าห้องด้านในเขาก็รู้สึกสั่นสะท้าน