ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 9 บทที่ 247 คิดว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นคนไม่รู้หนังสือมาตลอด
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 9 บทที่ 247 คิดว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นคนไม่รู้หนังสือมาตลอด
เซี่ยยวี่หลัวกลัวตายเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ชีวิตคนไร้ค่ายิ่งกว่าผักปลา ไม่สามารถคาดหวังกับสิ่งอื่นใด มีแต่ตัวเองถึงจะปกป้องตัวเองได้
นางจับตะกร้าไว้แน่น จ้องมองเซียวยวี่ด้วยหัวใจที่บีบคั้น ร่างกายเกร็งจนเหมือนลูกเกาทัณฑ์ที่ถูกยิงออกมา อาจปริแตกได้ทุกเมื่อ
เมื่อเห็นนางหวาดกลัวถึงขั้นนั้น เซียวยวี่จึงหยุดฝีเท้า
เซี่ยยวี่หลัวกลัวเขา!
เซียวยวี่เชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการข่มขู่เซี่ยยวี่หลัว นอกจากนั้น เขาก็ไม่เคยกล่าววาจาน่าสะพรึงให้นางหวาดกลัว ตรงกันข้าม เซี่ยยวี่หลัวกลับข่มขู่เขาเป็นประจำ ช่างแปลกประหลาดนัก ที่ผ่านมานางวิจารณ์คนนั้น สั่งสอนคนนี้ แสดงท่าทางใหญ่โตเหนือผู้อื่น วันนี้เขากลับเห็นนางหวาดกลัว?
เซียวยวี่เกิดข้อกังขาในเรื่องนี้ จึงหันมองเซี่ยยวี่หลัวอีกครั้ง
ใบหน้ายังคงมีรูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติ แต่แววตาของนางกลับเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากนัก
หากบอกว่าแววตาของเซี่ยยวี่หลัวในอดีตมีเพียงความหยิ่งยโส เช่นนั้นเวลานี้แววตาของนางกลับบริสุทธิ์และอบอุ่น แฝงเร้นด้วยประกายหวาดหวั่นเล็กน้อย เหมือนกระต่ายน้อยสีขาวที่เลี้ยงไว้ในสวนหลังบ้าน ยามมองมนุษย์ เบิกตากลมโตทั้งคู่มองเจ้า มองจนหัวใจของเจ้าอ่อนระทวยและใจสลาย
เซียวยวี่ใจอ่อนแล้ว หยุดฝีเท้าที่ก้าวเดิน ไม่เดินขึ้นหน้าต่อ เพียงกล่าวเสียงเบา “เจ้าตามชิดหน่อย! ” จากนั้นจึงหันขวับขึ้นเขาไป
กล่าวจบ เซียวยวี่หยุดฝีเท้า หันตัวเดินขึ้นเขาไป
เซี่ยยวี่หลัวเห็นว่าเขาไม่ได้ทำอะไร จิตใจที่วิตกอยู่ตลอดจึงผ่อนคลายลง
อ่านหนังสือมากเกินไป จึงมักจะเห็นภาพท่านราชบัณฑิตน้อยในอนาคตที่เข้าสู่ด้านมืดแล้วบนตัวเซียวยวี่ในปัจจุบัน
ทั้งที่เซียวยวี่ในยามนี้ ยังเป็นเด็กหนุ่มผู้อ่อนโยนและสง่างามอยู่เลย!
เซี่ยยวี่หลัวผ่อนลมหายใจยาว รีบเดินตามไป ระหว่างทั้งสองคนห่างกันประมาณหนึ่งหมี่กว่า
เซียวยวี่หันกลับมามองนางแวบหนึ่ง
เซี่ยยวี่หลัวผงะไป “มีอะไรหรือ? ”
“เจ้าตามชิดหน่อย! ” เซียวยวี่กล่าวอีกครั้ง
เซียวยวี่หลัวส่งเสียง “หา” ทีหนึ่ง นางไม่เข้าใจ
เซียวยวี่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จ้องมองนางอยู่อย่างนั้น
ทั้งสองคนต่างหยุดนิ่ง
เซี่ยยวี่หลัวได้แต่เดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว เมื่ออยู่ห่างจากเซียวยวี่สองก้าว เซียวยวี่จึงหันไป เริ่มขึ้นเขา
ทางขึ้นเขาเดินลำบาก
เวลานี้เป็นช่วงฤดูร้อนพอดี บนเขามีเถาวัลย์ขึ้นอย่างหนาแน่น กิ่งก้านก็ขึ้นปกคลุมอย่างหนาทึบ นอกจากนั้น เวลานี้ยังเป็นช่วงที่งูจะออกมาเพ่นพ่าน เซียวยวี่ให้เซี่ยยวี่หลัวตามเขาอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอันตราย
เมื่อก่อนเซี่ยยวี่หลัวขึ้นเขากับเด็กสองคน นางจะเดินนำเพื่อดูทางด้านหน้าเสมอ เพื่อปกป้องเด็กสองคน แต่ยามนี้ เซี่ยยวี่หลัวมองดูแผ่นหลังของเซียวยวี่ ตกอยู่ในอาการสติเลื่อนลอยเล็กน้อย
เซียวยวี่กุมเคียวเดินนำอยู่ด้านหน้า คอยตัดถางหรือเคลื่อนย้ายกิ่งก้านและเถาวัลย์ที่ขวางอยู่ด้านหน้าออก มีกิ่งไม้บางกิ่งที่จะกลับสู่สภาพเดิมหลังจากเดินผ่านไปแล้ว เซียวยวี่ดึงพวกมันไว้ รอให้เซี่ยยวี่หลัวเดินผ่านมาแล้ว เขาจึงปล่อยออก
พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่พูดคุยกัน มีเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินอยู่บนพื้นหญ้า เสียงสายลมที่พัดผ่านภูเขา และเสียงนกร้องขับขาน
ดอกจินหยินที่เซี่ยยวี่หลัวเห็นครั้งก่อน ต้องปีนข้ามภูเขาลูกนี้ไป ลงเขาแล้วเดินตรงไป ที่นั่นมีหุบเขาแห่งหนึ่ง ในหุบเขามีดอกจินหยินจำนวนมาก
ตอนนี้เป็นช่วงเดือนห้า เป็นฤดูกาลที่ดอกจินหยินเบ่งบานพอดี สามารถเด็ดกลับมาทำสบู่ดอกจินหยิน ใช้สบู่อาบน้ำในฤดูร้อนสามารถปกป้องผิว หรือตากแห้งแล้วชงเป็นชาดื่ม สามารถดับร้อนล้างพิษ ระบายลมและคลายร้อน
ยอดเขานั้นปีนได้ยากนัก โดยเฉพาะกิ่งก้านของต้นไม้นานาชนิดที่ขึ้นอย่างหนาทึบ ต้นไม้บางชนิดค่อนข้างเตี้ย ทั้งยังมีกิ่งก้านจำนวนมาก ตอนนี้ต้องก้มตัวเพื่อเดินผ่านไป เซียวยวี่เดินช้าๆ อยู่ด้านหน้า เซี่ยยวี่หลัวตามอยู่ด้านหลัง
ไม่รู้ว่าเดินไปนานเพียงใด เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเพียงเดินตาม ไม่ได้ทำอะไรแม้แต่น้อย เซียวยวี่อยู่ด้านหน้าคอยตัดถางกิ่งก้านหนามแหลม สร้างทางเดินราบเรียบให้แก่นาง
เมื่อถึงยอดเขา ทั้งสองคนต่างเดินจนแทบหายใจไม่ออก เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกหิวน้ำและรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่เซียวยวี่ไม่หยุด นางก็ไม่หยุด เซียวยวี่ไม่ดื่มน้ำ นางก็ไม่ดื่ม
มองลงเบื้องล่างจากตำแหน่งที่อยู่สูง ม่านต้นไม้เขียวชอุ่มที่ขึ้นอย่างหนาทึบเปรียบเสมือนน้ำหมึกสีเขียวเข้ม สายลมพัดผ่านเป็นครั้งคราว ใบไม้ในน้ำหมึกสีเขียวเข้มพลิ้วไหว บางครั้งเป็นสีเขียวดุจหยก บางคราเป็นสีเขียวดั่งมรกต ยังมีเหล่าวิหคที่อาศัยอยู่บนภูเขา โบกสะบัดปีกบินไปมาท่ามกลางภูเขา บินวนเวียนไปมาพร้อมส่งเสียงร้องดังระงม จากนั้นจึงพุ่งตัวลงไป ไม่รู้ว่าไปแห่งใดแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวสูดลมหายใจเข้าลึกสองครั้ง จมดิ่งอยู่ในความงดงามของธรรมชาติ แววตาฉายประกายตกตะลึงในความงาม
นั่นเป็นความงดงามเฉพาะตัวของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา ต้นไม้ หรือเสียงสายลม เสียงวิหคขับขาน ล้วนไม่เคยผ่านการดัดแปลงหรือแต่งเติม งดงามอย่างเป็นธรรมชาติ งดงามประหนึ่งแดนความฝัน งดงามจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
เซี่ยยวี่หลัวมองจนเคลิบเคลิ้ม
เมื่อสายลมอ่อนพัดโชยผ่านใบหน้าของนาง พัดจนเส้นผมยาวของนางพลิ้วไหว นางยืนอยู่เหนือทิวทัศน์ขุนเขาสายธารใต้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ยิ่งทำให้เห็นว่ามนุษย์เล็กจ้อยเพียงใด เซี่ยยวี่หลัวคิดถึงคำพูดหนึ่ง “ดั่งแมลงชีปะขาวที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ดุจเม็ดข้าวโพดท่ามกลางมหาสมุทร”
มนุษย์ ที่ถูกเรียกขานว่าผู้สร้าง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ยังคงเล็กจ้อยยิ่งนัก เหมือนกับแมลงชีปะขาวตัวหนึ่งที่มีชีวิตแสนสั้นท่ามกลางฟ้าดิน เหมือนเม็ดข้าวโพดที่เล็กจ้อยท่ามกลางมหาสมุทร
เล็กจ้อยจนไร้ซึ่งความสำคัญ
เซียวยวี่รู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวปีนเขาจนเหนื่อยมาก ดังนั้นหลังจากถึงยอดเขา เขาไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่หยุดเพื่อพักผ่อน เขายืนอยู่ข้างกายเซี่ยยวี่หลัว ฟังเสียงลมพัดเงียบๆ
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เซียวยวี่หันขวับไปมองด้วยความตกใจ เมื่อครู่เขาได้ยินอย่างชัดเจน เขารู้ดีว่าเมื่อครู่นี้เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอะไร
ดั่งแมลงชีปะขาวที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ดุจเม็ดข้าวโพดท่ามกลางมหาสมุทร
เขารู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจ ภายในใจราวกับมีคลื่นทะเลถาโถมนานแล้ว
หลายปีที่ผ่านมา เซียวยวี่ร่ำเรียนอยู่ตลอด เขารู้ว่าวาจาใดกล่าวได้ดี วาจาใดกล่าวได้ไม่ดี
บางครั้งการสังเกตคนหนึ่งคน ไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักมากนัก ขอเพียงได้ฟังวาจาหนึ่งประโยคของเขา ก็สามารถดูออกว่าอีกฝ่ายมีวิชาความรู้มากน้อยเพียงใด
เซียวยวี่คิดมาตลอดว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นคนไม่รู้หนังสือ ไม่มีวิชาความรู้ อย่างไรเสียท่านตาของนางก็เคยกล่าวไว้ ว่าในช่วงวัยเยาว์เซี่ยยวี่หลัวร่างกายไม่แข็งแรง ล้มป่วยเป็นประจำ ดังนั้นเขาจึงไม่ให้เซี่ยยวี่หลัวอ่านตำราเขียนหนังสือ นอกจากนั้น คนในชนบท อย่าว่าแต่สตรีเลย แม้แต่บุรุษ คนที่รู้หนังสือก็ถือว่ามีน้อยเสียยิ่งกว่าอะไร
เซียวยวี่นึกว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นคนไม่รู้หนังสือมาโดยตลอด
ทว่า ประโยคที่นางกล่าวเมื่อครู่ เซียวยวี่เข้าใจ คำพูดประโยคนี้มีความหมายแฝงเร้นลึกซึ้งมาก เซี่ยยวี่หลัวในอดีตไม่มีทางกล่าวเช่นนี้
เซียวยวี่อ้าปากตาค้าง
เซี่ยยวี่หลัวทอดสายตามองดูภาพทิวทัศน์ขุนเขาสายธารอันงดงามเบื้องหน้าอย่างหลงใหล ไม่ทันสังเกตเลยว่าเซียวยวี่ที่อยู่ข้างๆ มองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
พวกเขาสองคนนั่งอยู่บนยอดเขาครู่หนึ่ง จะลงเขาแล้ว ในหุบเขามีดอกจินหยินจำนวนมาก
ทั้งสองคนพักเสร็จแล้วจึงลงเขาต่อ ทางลงเขาเดินลำบากกว่าเดิมเสียอีก บนพื้นเต็มไปด้วยกอหนามและต้นไม้นานาชนิดที่แตกกิ่งก้านใบไม้จนปกคลุมอย่างหนาทึบ เซียวยวี่เดินนำด้านหน้า ใช้เคียวในมือตัดถางกอหนามจำนวนหนึ่ง เปิดทางให้เซี่ยยวี่หลัว เซี่ยยวี่หลัวตามอยู่ด้านหลัง ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนที่อธิบายไม่ถูก
ในที่สุดก็ลงมาแล้ว