ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 9 บทที่ 262 เมื่อผิดก็ต้องแก้ แก้ตั้งแต่เนิ่นๆ
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 9 บทที่ 262 เมื่อผิดก็ต้องแก้ แก้ตั้งแต่เนิ่นๆ
พอเด็กสองคนได้ยินว่าต้องอยู่บ้านเขียนหนังสือ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เซี่ยยวี่หลัวเกรงว่าเซียวยวี่จะไม่ตอบตกลง จึงรีบกล่าว “ใช้เวลาแค่ครึ่งวัน กลับมาค่อยเขียนก็เหมือนกัน! ”
ให้นางไปกับเซียวยวี่ตามลำพัง นางไม่ยินยอม
ถึงแม้จะมีเซียวเหลียนด้วย แต่ต้องเผชิญหน้ากับเซียวยวี่ตลอดการเดินทาง เกรงว่าเซี่ยยวี่หลัวคงต้องเป็นใบ้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เด็กๆ อยู่ที่บ้านนานเกินไป ให้พวกเขาตามออกไปเที่ยวเล่นด้วย จะได้เปิดหูเปิดตา อย่างไรก็ดีกว่าอยู่แต่ที่บ้านทั้งวัน
เซียวยวี่ส่ายหน้า “ถึงแม้ตัวหนังสือของเขาจะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ไม่น้อย แม้จะเป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กๆ แต่จะส่งผลกระทบต่อตัวหนังสือหนึ่งตัว”
เซี่ยยวี่หลัว “ไม่ได้เร่งรีบขนาดนั้นนี่นา กลับมาค่อยแก้ก็เหมือนกัน! ” เซี่ยยวี่หลัวยังคงยืนกราน
เซียวยวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ “หากความทรงจำต่อตัวหนังสือหนึ่งตัวมีข้อผิดพลาดมาตลอด ขีดเขียนบ่อยจนเคยชิน ถึงเวลาจะแก้ให้ถูก ก็ยากแล้ว”
เซี่ยยวี่หลัว “…” กล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก นางที่เป็นคนในยุคปัจจุบันไม่อาจโต้แย้งได้เลยจริงๆ
ท่านราชบัณฑิตน้อยก็คือท่านราชบัณฑิตน้อย พูดออกมาได้เป็นชุด จิตวิญญาณในการโต้วาทีของนางหายไปไหน? แต่นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะโต้แย้งอย่างไร!
มีข้อผิดพลาด ยิ่งแก้ไขแต่เนิ่นๆ ก็ยิ่งดี
เซี่ยยวี่หลัวไม่กล่าวอะไร เซียวจื่อเซวียนไม่กล่าวอะไร เซียวจื่อเมิ่งก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้
ท่าทางที่ทั้งสามคนคอตก ก้มหน้ากินข้าว เซียวยวี่เห็นแล้วรู้สึกว่าช่างน่าขัน แต่เขาก็พยายามฝืนสะกดไว้ “พรุ่งนี้ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าไปในตัวเมือง พวกเจ้าอยากซื้ออะไร บอกพวกเราได้ พวกเราจะซื้อกลับมาให้พวกเจ้า”
เช่นนั้นเท่ากับพวกเขาไปในตัวเมืองกันสองคน
เซี่ยยวี่หลัวได้แต่พ่นความอัดอั้นใจลงไปในชามข้าว จากนั้นจึงกินลงท้องไป
บัดนี้ในท้องเต็มไปด้วยความอัดอั้นใจ
เซี่ยยวี่หลัวคิดแต่เรื่องที่พรุ่งนี้นางต้องไปในตัวเมืองกับท่านราชบัณฑิตน้อย จึงไม่ได้ยินตอนที่เซียวยวี่เอ่ยคำว่า พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้า และ พวกเรา
ทั้งยังไม่ทันได้เห็น ว่าดวงหน้าของเซียวยวี่เผยรอยยิ้มเบาบางขณะเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้น
ถึงแม้จะเบาบาง แต่ก็ยิ้มอย่างแท้จริง
เมื่อเซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งได้ยินว่าจะไม่ได้ไปในตัวเมืองก็รู้สึกเสียดายนัก แต่พอได้ยินว่าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่จะซื้อของกลับมาให้พวกเขา ก็ยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบานทันที “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าอยากกินขนมกุ้ยฮวา”
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าอยากได้ปิงถังหูหลู่ [1] ”
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าก็อยากได้ปิงถังหูหลู่” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวอย่างเห็นพ้องด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะเบา พอได้ยินว่าจะซื้อของให้ก็เปลี่ยนจุดยืนทันที เด็กสองคนนี้ช่างซื้อใจได้ง่ายเสียจริง “ได้ พี่สะใภ้ใหญ่จะซื้อให้พวกเจ้า”
นางกัดฟันดังกรอด
เซียวยวี่ก้มหน้าคีบผัก ปิดบังรอยยิ้มบางตรงมุมปาก
กินอาหารเย็นเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวนำสบู่ออกมาสองก้อน ก้อนหนึ่งให้เซียวจื่อเซวียนนำไปให้เซียวยวี่ อีกก้อนหนึ่งพวกเขาสามคนใช้
เซียวจื่อเซวียนอาบน้ำเสร็จก็มาบอกเล่าข้อดีของสบู่ “พี่สะใภ้ใหญ่ สบู่นี่หอมเหลือเกินขอรับ มีกลิ่นของดอกจินหยิน ถูบนตัวก็รู้สึกเย็นสบาย รู้สึกว่าสิ่งสกปรกถูกชะล้างจนสะอาดขอรับ”
“ดอกจินหยินคลายร้อนล้างพิษ ช่วยระบายลมขจัดความร้อน ฤดูร้อนมีผดขึ้นได้ง่าย ใช้สบู่ดอกจินหยิน ก็ดีต่อผิวเช่นกัน” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว
เซียวจื่อเมิ่งสูดดมกลิ่นบนกายตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึก “หอมเหลือเกินเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ ใช้อาบแล้วบนตัวจื่อเมิ่งหอมมากเจ้าค่ะ”
เซี่ยยวี่หลัวมีความคิดหนึ่ง “ข้าคิดจะทำสบู่จำนวนหนึ่ง นำไปฝากขายที่ฮวาเหนียง ลองดูว่าจะมีคนซื้อหรือไม่ หากมีคนซื้อ ต่อไปพวกเราก็ทำการค้าเกี่ยวกับสบู่ พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร? ”
นางปรึกษาหารือกับเด็กสองคนด้วยท่าทีจริงจัง ไม่ได้ปฏิบัติต่อเด็กสองคนเหมือนเด็กเล็กแม้แต่น้อย
เด็กสองคนย่อมฟังพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่มักจะคิดอะไรแปลกๆ อยู่เสมอ ทำให้พวกเขาตอบสนองแทบไม่ทัน แต่กลับรู้สึกชอบเสียยิ่งกว่าอะไร
เซียวจื่อเมิ่งปรบมือพร้อมกล่าวเสียงดัง “ของที่พี่สะใภ้ใหญ่ทำ ต้องขายดีแน่เจ้าค่ะ! ”
เซียวจื่อเซวียนก็แสดงสีหน้าเคารพเลื่อมใส “พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านถึงเก่งกาจเช่นนี้ขอรับ ทำอะไรก็ดีถึงเพียงนี้”
เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะร่า “อ่านตำราให้มาก ร่ำเรียนดีๆ ตั้งใจศึกษา”
เด็กสองคนพยักหน้ารัว “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราจะตั้งใจร่ำเรียน เมื่อเติบใหญ่จะได้เหมือนท่าน รู้ทุกเรื่อง”
เซียวยวี่ไปอาบน้ำ มองสบู่ก้อนใหม่ที่วางไว้ในกระบอกไม้ไผ่ เขาหยิบขึ้นมาดม กลิ่นดอกจินหยินลอยเข้าจมูก หอมยิ่งนัก หลังจากใช้อาบ ผิวก็นุ่มลื่น กระปรี้กระเปร่า สบายตัวมาก สบู่ดอกจินหยินนี่ไม่เลวเลยจริงๆ
คิดถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่าสบู่ดอกจินหยินดีต่อผิว ทั้งยังใช้เวลามากขนาดนั้นขึ้นเขาไปเก็บดอกจินหยิน พอจะดูออกว่านางมีความรู้ด้านหลักการใช้ยาเป็นอย่างมาก
ท่านตาของเซี่ยยวี่หลัวเป็นท่านหมอ ทักษะการรักษาไม่เลว ได้เห็นได้ยินเป็นประจำ เซี่ยยวี่หลัวจะมีความรู้บ้าง ก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก
ค่ำคืนดวงจันทร์กระจ่าง หลังจากเซี่ยยวี่หลัวอาบน้ำเสร็จ ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าไปทั้งตัว เล่านิทานให้เด็กสองคนฟัง จากนั้นจึงไปห้องน้ำ ตอนกลับมา เห็นไฟในห้องของเซียวยวี่ยังสว่างอยู่
พรุ่งนี้ยามหยินก็ต้องออกเดินทาง เป็นช่วงเวลาประมาณตีสามถึงตีสี่
เซี่ยยวี่หลัวเม้มริมฝีปากหัวเราะ “อ่านเลย อ่านเลย ถ้าจะให้ดีก็อ่านจนพรุ่งนี้ตื่นไม่ไหว ถึงเวลาข้าก็ไปคนเดียว”
นางกลับห้องไปอย่างได้ใจ ดับไฟในห้อง
เซียวยวี่กำลังถือตำราอ่านอย่างตั้งใจ พลางมองดูภายนอกหน้าต่างเป็นระยะ เมื่อแสงสว่างนั่นหายไป เซียวยวี่วางตำราลง ลุกขึ้นไปดับไฟ
เขาไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ากว่าเซี่ยยวี่หลัวเสียอีก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าภายนอกยังมืดสลัว เซี่ยยวี่หลัวได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องของนางด้วยอาการสะลึมสะลือ
นางลุกขึ้น ขยี้ตาที่ดูงัวเงีย
อาจเพราะได้ยินเสียงจากด้านใน จึงไม่ได้เคาะประตูต่อ เสียงของเซียวยวี่ดังขึ้นจากด้านนอก “ตื่นได้แล้ว”
จากนั้นจึงเป็นเสียงฝีเท้าของเขาที่เดินจากไป
เซี่ยยวี่หลัวตื่นนอนด้วยความสับสนมึนงง เมื่อคืนนี้ ถึงแม้จะเข้านอนเร็ว แต่ก็หลับดึก ต่อให้หลับไปแล้ว ก็ฝันเรื่องแล้วเรื่องเล่า
ประเดี๋ยวฝันว่าท่านราชบัณฑิตน้อยเอาชีวิตนางด้วยใบหน้าดุร้าย ประเดี๋ยวก็ฝันว่าท่านราชบัณฑิตน้อยยิ้มให้นางด้วยท่าทางอ่อนโยนดุจสายน้ำ
ตกลงเรื่องไหนเป็นความฝัน เรื่องไหนเป็นความจริง เซี่ยยวี่หลัวแทบจะเป็นโรคประสาทในความฝันแล้ว
กลางคืนไม่ได้นอนดีๆ ย่อมไม่มีชีวิตชีวา นางลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าด้วยอาการมึนงง เพิ่งล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอก
“อายวี่ตื่นแล้วหรือ? ” เซียวเหลียนมาแล้ว
“ขอรับ รอครู่หนึ่ง อาหลัวยังล้างหน้าบ้วนปากอยู่ ใกล้เสร็จแล้วเช่นกัน” เซียวยวี่ยิ้มพร้อมกล่าว
เซียวเหลียนรีบกล่าว “ไม่รีบ ไม่รีบ ช้าหน่อยก็ไม่เป็นอะไร”
เซียวยวี่ไปห้องครัว หยิบไข่ไก่มาหนึ่งฟอง “กินสักหนึ่งฟองสิ”
เซียวเหลียนตื่นแต่เช้ายังไม่ได้กินอาหาร จึงรับมาพลางกล่าวขอบคุณ แกะเปลือกกินตอนยังร้อนอยู่
————————-
เชิงอรรถ
[1] ปิงถังหูหลู่ คือ ผลไม้เคลือบน้ำตาล ซึ่งในยุคโบราณมักจะนำผลซานจามาเสียบเรียงบนไม้แล้วเคลือบน้ำตาล