ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1005 คนในบ้านดูลึกลับ
บทที่ 1005 คนในบ้านดูลึกลับ
บทที่ 1005 คนในบ้านดูลึกลับ
กู้ฉวนลู่ไปหาใต้เท้าลวี่ บอกว่าพวกเขาถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน และตอนนี้กู้จือเหวินก็หายจากอาการบาดเจ็บแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ถามหาความรับผิดชอบจากกู้หนิงผิงอีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ลวี่เทาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้
และยอมปล่อยเขาไป
เมื่อกู้หนิงผิงถูกปล่อยออกจากห้องขังร่างกายของเขาซูบผอมลงไปมาก เด็กชายถูกขังอยู่ในนั้นเพียงเจ็ดหรือแปดวัน แต่น้ำหนักของเขาหายไปเกือบครึ่ง
ครั้นเห็นกู้หนิงผิงเดินออกมาอย่างช้า ๆ ร่างกายผอมซูบของเขาทำให้กู้เสี่ยวหวานอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
เมื่อกู้หนิงอันเห็นน้องชายของเขาออกมา เขารีบรุดขึ้นข้างหน้าเพื่อประคองกู้หนิงผิง “หนิงผิง”
กู้หนิงผิงได้กลับบ้านแล้ว ทุกคนจึงรู้สึกมีความสุขมาก
แม้ว่าร่างกายของกู้หนิงผิงจะผอมลงไปมาก เพราะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุก แต่เนื่องจากพื้นฐานที่ดีของเขา เพียงแค่พักฟื้นร่างกายระยะสั้น ร่างกายของเขาก็แข็งแรงขึ้นในทุกวัน
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่ฉินเย่จือนั้นยังไม่กลับมา และเรื่องที่กู้หนิงผิงถูกปล่อยตัวออกมายังไม่ถูกส่งข่าวไปให้อีกฝ่าย เกรงว่าเขายังคงรีบร้อนวุ่นวายอยู่กับเรื่องของหนิงผิง
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจออกมาเบา ๆ หากแต่ไม่อาจหลบพ้นอาโม่ไปได้ ครั้นเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นห่วงเจ้านายของเขา อาโม่จึงพูดด้วยท่าทีผ่อนคลาย “เขารู้ว่าหนิงผิงกลับมาแล้ว และจะกลับมาในไม่ช้า”
“ว่าอย่างไรนะ?” ได้ยินดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “เขารู้ได้อย่างไรว่าหนิงผิงกลับมาแล้ว”
เนื่องจากความตื่นเต้นของนาง อาโม่จึงเอ่ยออกไปอย่างไม่ได้คิดสิ่งใดมาก “เพราะว่าเป็นเขา”
ทว่าในตอนที่จะเอ่ยประโยคต่อไป จู่ ๆ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบปิดปากสนิทและสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “คุณหนู เอ่อ… ข้าไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่ ข้าแค่เดาว่าเขาน่าจะรู้”
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่อาโม่ด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น และรู้ว่าเขากำลังมีบางอย่างปิดบังตนเอง ครั้นกำลังจะเอ่ยปากถาม อาโม่ก็ขัดขึ้นมา ยังไม่ทันได้ให้อาหารม้า แล้วเขาก็รีบวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าเขาวิ่งออกไปเร็วกว่ากระต่าย และหายวับไปต่อหน้า แม้ว่าจะยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย หากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เพียงแต่คิดว่าคำพูดของอาโม่ดูแปลกไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากร่างกายของกู้หนิงผิงฟื้นฟูคืนสู้สภาพเดิม บรรยากาศเดิม ๆ ของสวนกู้ก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าผู้คนที่สวนกู้ดูเหมือนจะแปลกไป
คำพูดของอาโม่นั้นไม่ผิดเพี้ยน ฉินเย่จือกลับมาหลังจากนั้นไม่กี่วัน
สีหน้าเต็มไปด้วยความปีติยินดี
แต่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าภายในบ้านของนางมีบางอย่างลึกลับซ่อนอยู่ ทุกสายตาที่มองมาที่นางมักเต็มไปด้วยความหมายบางอย่าง
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อถามพวกเขา พวกเขาทั้งหมดก็เอาแต่ยิ้มและบอกว่าไม่มีอะไร
แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่พูดอะไร นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยมันไป
ช่วงเวลาระยะเวลาไม่กี่วันนี้ ภายในบ้านเต็มไปด้วยความสุข
เมืองหลิวเจียแห่งนี้ดูเหมือนจะได้รับความสงบสุขในอดีตกลับคืนมา
ผู้ชายทำไร่ ผู้หญิงเลี้ยงลูก ช่างเป็นบรรยากาศที่อบอุ่น
นอกเหนือจากการทำตุ๊กตากับกู้เสี่ยวอี้และคนอื่น ๆ ในห้องทุกวัน กู้เสี่ยวหวานยังไปที่นาเพื่อดูพืชผล ดังนั้นจึงใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมีความสุข
ตำแหน่งของกู้หนิงอันในฐานะบัณฑิตถูกกู้จือเหวินพรากไป แต่เพราะเขาช่วยชีวิตกู้หนิงผิงไว้ กู้หนิงอันจึงเข้าเรียนในชั้นเรียนที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น โดยไม่รู้สึกหดหู่ใจเลยแม้แต่วันเดียว
สวีเฉิงเจ๋อและสวีเซียนหลินยังเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการสอนหนังสือให้กู้หนิงอัน
การบ้านของกู้หนิงอันดีขึ้นเรื่อย ๆ
ในช่วงเวลานี้สถานการณ์ในบ้านเจียงค่อนข้างเงียบสงบ
เดิมทีเจียงอวิ้นหลิ่วเตรียมพร้อมเมื่อเขาได้ยินว่ามีเจ้าหน้าที่เมืองหลวงแอบค้นหาการลักลอบนำเข้าเกลือ แต่ภายในสองวันก็มีจดหมายอีกฉบับมาจากเมืองหลวง โดยบอกว่ามันเป็นเพียงความผิดพลาด
ไม่เกี่ยวกับการตรวจสอบการลักลอบขายเกลือส่วนตัว หากแต่เป็นการตรวจสอบทางด้านอื่น ๆ
หากเป็นการตรวจสอบด้านอื่น ๆ ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจียงอวิ้นหลิ่ว เขาก็สามารถวางใจลงได้
ฮูหยินเจียงรู้สึกดีที่ได้เห็นเจียงอวิ้นหลิ่วกลับมาอารมณ์ดี จิตใจที่กระวนกระวายของนางผ่อนคลายลง
วันนี้อากาศแจ่มใส ออกไปรับแดดข้างนอกแล้วคุยเรื่องครอบครัวกู้กับมามาเหลิ่งอีกครั้ง
ตราบใดที่มีการกล่าวถึงกู้ซินเถา โทสะของฮูเจียงจะปะทุขึ้นอีกครั้ง
“เด็กสาววัยนี้ไม่รู้จักการรักนวลสงวนตัว นางออกไปเที่ยวเล่นกับหย่วนเอ๋อร์ทั้งวัน หญิงที่ดีควรระมัดระวังสิ่งนี้ ถ้าไม่รู้จักสิ่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวในหอนางโลม
ยิ่งฮูหยินเจียงพูด ความโกรธของนางก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และถ้อยคำของนางก็ดูไม่ค่อยหน้าฟังนัก
ครั้นเห็นว่าฮูหยินเจียงอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราด มามาเหลิ่งก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้นางพอใจ “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อเทียบระหว่างกู้เสี่ยวหวานและกู้ซินเถา ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว”
มามาเหลิ่งพูดแทงใจดำฮูหยินเจียง “คงจะดีมากถ้ากู้เสี่ยวหวานผู้นี้ได้เป็นสะใภ้ของตระกูลเจียงของข้า”
“ฮูหยิน แล้วแม่นางหลิวล่ะ” มามาเหลิ่งรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทางสับสนของนายหญิง มามาเหลิ่งก็พูดว่า “นับวันท่านยิ่งถึงพูดถึงแต่กู้เสี่ยวหวานผู้นี้ หรือว่านางจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลเจียง”
แต่คงไม่ใช่การเป็นภรรยาเอกของตระกูลเจียง หากแต่คงเป็นนางบำเรอ มามาเหลิ่งพยักหน้า “ถูกต้อง ตระกูลเจียงของเราเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและลูกสะใภ้ที่จะแต่งงานก็มาก็ต้องมาจากตระกูลสูงส่ง”
“หลิวเทียนฉือผู้นี้ สำหรับข้าแล้ว ข้าไม่ได้รู้สึกชื่นชมนาง” ฮูหยินเจียงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “อย่างไรก็ตาม แม้ว่านิสัยของนางจะไม่ได้ดีมาก แต่อย่างน้อยพ่อของนางก็เป็นขุนนางระดับสาม กิจการของนายท่านตลอดหลายปีที่ผ่านมาล้วนเกิดจากนายท่านหลิวผู้อยู่เบื้องหลัง เราต้องไม่ลืมสิ่งนี้”
ในความคิดของฮูหยินเจียง ดูเหมือนว่าการให้เจียงหย่วนแต่งงานกับหลิวเทียนฉือนั้นก็เพื่อผลประโยชน์เท่านั้น
ฮูหยินเจียงไม่พอใจกับภูมิหลังของบุคคลนี้ หรือลักษณะของบุคคลนั้น หรือความสามารถของบุคคลนั้น
นางเป็นคนจู้จี้จุกจิก
จู่ ๆ มามาเหลิ่งก็เสนอความคิดหนึ่งขึ้นมาว่า “ฮูหยิน ถ้าเช่นนั้นทำไมเราไม่ให้นายน้อยแต่งงานกับหญิงทั้งสองคนนี้ล่ะ แม่นางหลิวเป็นภรรยาเอก และกู้เสี่ยวหวานเป็นภรรยารอง เรามีทั้งหน้าตาและความชอบ ปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัว”
————————————-