ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 103 ไม่หย่าแล้ว
บทที่ 103 ไม่หย่าแล้ว
บทที่ 103 ไม่หย่าแล้ว
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว หมู่บ้านอู๋ซีของเราไม่เคยมีตัวอย่างการหย่าร้างเกิดขึ้นมาก่อน เรื่องนี้จะเริ่มต้นจากครอบครัวเจ้าได้อย่างไร ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสม!”
“ใช่แล้ว เจ้าสาม ภรรยาเจ้างามขนาดนี้ ต่อให้จุดตะเกียงหาก็หาไม่ได้หรอก นอกจากนี้นางยังให้กำเนิดลูกสองคนเพื่อเจ้า เช่นนั้นปล่อยผ่านไปเถอะ” ทุกคนพยายามเกลี้ยกล่อมกู้ฉวนโซ่ว เขาจึงทำได้เพียงถอนหายใจและยอมแพ้
“เฉาซื่อ วันนี้เพื่อเห็นแก่หัวหน้าหมู่บ้าน และเห็นแก่หน้าของพี่ชายและพี่สะใภ้ ข้าจะให้อภัยเจ้า ยกเลิกการหย่าร้าง แต่ถ้าเจ้ากล้าหยาบคายใส่พี่ชายและพี่สะใภ้อีกครั้งในอนาคต ก็มาดูกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร!” กู้ฉวนโซ่วเน้นย้ำอย่างดุร้าย
เฉาซื่อมองไปยังกู้ฉวนโซ่วที่จ้องมาจะราวกับจะกินคน หัวใจของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว บุรุษคนนี้สามารถกินคนได้จริง ๆ!
“สามี ข้ารู้แล้ว ในอนาคตข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เฉาซื่อสาบานท่ามกลางผู้คน
“เอาล่ะ เอาล่ะ แยกย้ายกันได้แล้ว!” เมื่อเหล่าเหลียงโถ่วเห็นว่าเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว เขาก็ไล่ฝูงชนออกไป
ร่างกายของเฉาซื่อเต็มไปด้วยรอยแผล เมื่อสักครู่ที่นางบังคับตัวเองให้หมอบคลานก็ทำให้ตอนนี้กระดูกทั่วร่างเหมือนจะหลุดออกจากกัน จนนางต้องนอนราบกับพื้นเพราะขยับเขยื้อนไม่ได้
เหล่าเหลียงโถ่วมองดูท่าทางน่าสงสารและเผ้าผมที่ยุ่งเหยิงของเฉาซื่อ เมื่อนึกถึงความงามของสตรีผู้นี้เมื่อครั้งอดีต ก็คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะตกทุกข์ได้ยากขนาดนี้
การมีชีวิตที่ดีเป็นหน้าที่ของบุรุษ ส่วนการมีชีวิตที่ไม่ดีก็เป็นหน้าที่ของบุรุษเช่นกันเช่นกัน ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันแน่ ในวันนี้ถึงกลับกลายเป็นศัตรูกัน
“เจ้าสาม รีบพาสะใภ้สามเข้าไปในบ้านเถอะ เมื่อสักครู่เจ้าเตะนางจนอาเจียนเป็นเลือด ไม่รู้ว่าอวัยวะภายในบาดเจ็บหรือไม่ รีบพาท่านหมอหม่ามาตรวจเถอะ!” เหล่าเหลียงโถ่วกล่าว
กู้ฉวนโซ่วพึมพำอย่างโกรธเคือง ไม่รู้ว่าเขาตอบรับหรือไม่ แต่ก็ช่วยพยุงเฉาซื่อขึ้นมา เหล่าเหลียงโถ่วไม่ได้เอ่ยอะไรอีก จะแก้ปัญหาอย่างไรก็ให้เป็นเรื่องของสองสามีภรรยาคู่นี้แล้ว
เมื่อชาวบ้านสลายตัวแล้ว เหล่าเหลียงโถ่วก็เรียกกู้ฉวนลู่ พลางกระซิบว่า “เจ้าคิดอย่างไรกับสิ่งที่ข้าบอกเจ้าเมื่อสองสามวันก่อน?”
กู้ฉวนลู่มองไปที่ห้องหลักที่ปิดสนิท ส่ายหัวและไม่ได้พูดอะไรให้มากความ
เมื่อเห็นว่ากู้ฉวนลู่ยังคงเป็นเช่นนี้ เหล่าเหลียงโถ่วก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย และกล่าวว่า “ดูน้องชายของเจ้าสิ วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ เจ้าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ของครอบครัวกู้ได้อย่างไร ดูเด็กสองคนนั้นสิ พวกเขาไม่อาจมองใครได้อีกต่อไปแล้ว แต่ครอบครัวของเจ้าแตกต่าง เหวินเอ๋อร์จะเป็นคนที่มีอนาคตสดใส หากเขาสอบผ่านระดับซิ่วไฉและจวี่เหริน[1]ในอนาคตเขาจะเป็นความรุ่งโรจน์ของหมู่บ้านอู๋ซีของเรา”
เหล่าเหลียงโถ่วเป็นกังวลเล็กน้อย หลายปีที่ผ่านมาในหมู่บ้านอู๋ซีแห่งนี้มีเพียงลูกชายคนโตของครอบครัวกู้เท่านั้นที่เป็นคนทำบัญชีในร้านอาหารในเมือง คนอื่น ๆ ก็หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นชาวนา
ครอบครัวกู้นี้เดิมทีค่อนข้างมีเงินและถือว่าเป็นครอบครัวที่มีหน้ามีตาในหมู่บ้านอู๋ซี เมื่อก่อนกู้ฉวนลู่ก็เคยเรียนหนังสือและถูกมองว่าเป็นคนที่มีหมึกอยู่ในท้อง แม้จะสอบไม่ผ่านระดับซิ่วไฉ แต่ก็ยังเป็นคนที่มีสถานะอยู่ในเมือง นอกจากนี้ เหวินเอ๋อร์ก็เข้าสำนักศึกษา ได้ศึกษาตำรา ในอนาคตหากได้สอบผ่านระดับซิ่วไฉหรือจวี่เหริน หลังจากนี้ก็จะสามารถได้งานกึ่งทางการ หากพวกเขายังอยู่ในหมู่บ้านอู๋ซี หมู่บ้านอู๋ซีจะพัฒนาขึ้นในทางที่ดี
เหล่าเหลียงโถ่วมีความเห็นแก่ตัวเล็กน้อย สองสามปีแล้วที่เขาดูการสอบซิ่วไฉของเหวินเอ๋อร์ ช่างตรงข้ามกับเหลียงต้าเป่าหลานชายสุดที่รักของเขาที่นิสัยเสียและไม่รู้หนังสือนัก ในครั้งนี้ถ้าเขาช่วยกู้ฉวนลู่เพื่อนำบ้านเก่ากลับมา ในอนาคตเขาก็คงมาช่วยครอบครัวเหลียง
คนธรรมดาช่วยเหลือคนธรรมดานับว่าไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนัก แต่ถ้าเจ้าหน้าที่คนนี้สามารถช่วยเขาได้ นั่นก็จะนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
“หัวหน้าหมู่บ้าน ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านหมายถึง แต่เรื่องนี้ยังต้องคุยกันอีกนาน บ้านหลังเก่านี้มอบให้น้องสามไปแล้ว หากตอนนี้ข้าอยากได้กลับมา ข้ากลัวมันจะไม่เหมาะสม” เมื่อฟังคำพูดของเหล่าเหลียงโถ่ว กู้ฉวนลู่ลอบภูมิใจในคำพูดของเขา แต่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรและยังคงมีท่าทางนิ่งสงบ
“จะไม่เหมาะสมอะไรกัน ของในครอบครัวต้องถูกส่งให้กับลูกชายคนโต เจ้ามีชื่อถูกต้องและจะไม่เหมาะสมได้อย่างไร!” เหล่าเหลียงโถ่วเป็นกังวลเล็กน้อยจนรีบร้อนพูดออกมา “เหวินเอ๋อร์ก็โตขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าพวกเขาได้รับความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต ตนเองจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา!”
“อย่ากังวลไปเลย หัวหน้าหมู่บ้าน ขอให้ข้าได้พูดคุยกับภรรยาของข้า มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในบ้านของน้องสาม ข้ากลัวว่าถึงตอนนั้นจะไม่เป็นที่พอใจมากยิ่งขึ้น!” กู้ฉวนลู่กล่าวเสียงดัง
“ได้ ถ้าเจ้าคิดออกแล้ว ข้าเหล่าเหลียงโถ่วจะยืนเคียงข้างเจ้าเอง!” หลังจากพูดแล้ว เขาก็ส่ายศีรษะและจากไป
กู้ฉวนลู่มองแผ่นหลังของเหล่าเหลียงโถ่วที่จากไปอย่างครุ่นคิด เมื่อกลับมาที่ห้อง ซุนซื่อก็รีบทักทายเขาและถามว่า “สามี ท่านคิดว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านของเจ้าสามหรือ? เหตุใดถึงรุนแรงยิ่งนัก”
“ข้าเกรงว่าเจ้าสามจะพบจิตใต้สำนึกของตัวเองแล้ว นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่สามารถทำตัวให้ชินกับเฉาซื่อได้!” กู่ชวนลู่พูดอย่างอ่อนแรง เขาโกรธมาแต่เช้า ไม่มีเวลากินข้าวและท้องของเขาก็เริ่มหิวขึ้นมาจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เชื่อ ดูเฉาซื่อสิ ตรงไหนคือตะเกียงประหยัดน้ำมัน คราวเถียนซื่อยังอยู่ก็ถูกเฉาซื่อรังแกจนทุกข์ระทมเพียงใด ท่านไม่เห็นหรือว่าเจ้าสามไม่คุยกับเฉาซื่อแม้สักครึ่งประโยค” ซุนซื่อพ่นลมอย่างเย็นชา แต่นางไม่เชื่อว่าครอบครัวของกู้ฉวนโซ่วจะสำนึกได้แล้วจริง ๆ เพียงไม่สามารถพูดได้ว่ามีอะไรผิดปกติ
“ใช่แล้ว สามี เมื่อครู่หัวหน้าหมู่บ้านพูดอะไรกับเจ้า? ดูลึกลับนัก!”
“ไม่มีอะไร แค่พูดเรื่องให้เราจะกลับไปอยู่บ้านหลัก!”
“ว่าอย่างไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของซุนซื่อก็เป็นประกายตื่นเต้นเล็กน้อย “ท่านบอกว่าหัวหน้าหมู่บ้านขอให้เราย้ายกลับไปที่บ้านหลักอย่างนั้นหรือ?”
“อืม แค่เจ้าสามได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังหลักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หากเราต้องการที่จะอยู่ในนั้น มันก็เป็นการปล้นไม่ใช่หรือ? คนในหมู่บ้านจะพูดถึงเราว่าอย่างไร?” ถึงกู้ฉวนลู่จะอยากกลับไป แต่มันก็มีปัญหาตามมา
“สิ่งที่ท่านพูดมาก็จริง” ซุนซื่องุนงงเล็กน้อย “หัวหน้าหมู่บ้านหมายความว่าอย่างไร?”
กู้ฉวนลู่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าเขาชอบเหวินเอ๋อร์หรือ เขามาเพื่อประจบประแจงกับเรา!”
“ชอบเหวินเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?” ซุนซื่อยิ่งงงเข้าไปอีก “สามี ท่านอธิบายให้ชัดเจนเถิด ข้าไม่เข้าใจ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] 秀才 ซิ่วไฉ การสอบเข้ารับราชการที่จีนรอบที่หนึ่ง เป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น ผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะได้คุณวุฒิเรียกว่า ซิ่วไฉ โดยมีการจัดสอบทุกปี ปีละครั้ง 举人 จวี่เหริน การสอบรอบที่สอง เป็นการสอบคัดเลือกระกับภูมิภาค เงื่อนไขคือผู้เข้าสอบจะได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน ผู้สอบผ่านขั้นนี้จะได้คุณวุฒิจวี่เหริน โดยมีการจัดสอบทุกสามปี
สารจากผู้แปล
หัวหน้าหมู่บ้านถือว่ามองการณ์ไกลไม่เบาเลยน้า
ไหหม่า(海馬)