ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 106 มีความคิด
บทที่ 106 มีความคิด
บทที่ 106 มีความคิด
กู้ฉวนลู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็ก ๆ เหล่านี้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไรหากไม่มีพ่อหรือแม่!
“สาวน้อยกู้เสี่ยวหวาน เจ้าไปเอาเสื้อผ้ามาจากไหน?” กู้ฉวนลู่ตำหนิทันทีที่เปิดปาก
กู้เสี่ยวหวานทันเห็นความโลภและความริษยาในแววตาของกู้ฉวนลู่ ดูเหมือนว่ากู้ฉวนลู่อาจกำลังจับตามองครอบครัวรองอยู่
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความโอหังที่ไม่น้อยกว่ากู้ฉวนลู่ และพูดเสียงดัง “พวกเราซื้อเอง!”
“ซื้อมาหรือ?” กู้ฉวนลู่พ่นลมอย่างเย็นชาและเยาะเย้ย “เด็กยากจนอย่างพวกเจ้ามีเงินที่จะซื้อหรือ? เป็นไปได้ไหมว่าพวกเจ้าขโมยมันมา! ถ้าพวกเจ้าทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ และทำลายชื่อเสียงของครอบครัวกู้ ข้าคงให้อภัยพวกเจ้าไม่ได้!”
เขาขู่ด้วยน้ำเสียงดุดัน
แน่นอนว่ากู้ฉวนลู่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานมีเงินอยู่บ้างแล้ว ในวันนั้นที่กู้เสี่ยวหวานไปที่ร้านธัญพืชเฉิงซิ่นเพื่อซื้อข้าวและบะหมี่ก่อนที่จะรับเสื้อผ้าของนาง กู้ฉวนลู่ก็มองเห็นได้ชัดเจน
บังเอิญวันนั้นเป็นวันหยุดของกู้ฉวนลู่ ร้านธัญพืชตรงข้ามร้านเฉิงซิ่นเป็นของเถ้าแก่เครายาวแซ่เจียว หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อเจียวต้า และยังเป็นสหายที่ดีต่อกู้ฉวนลู่
ตราบใดที่ในร้านอาหารไม่มีงานอะไร กู้ฉวนลู่จะไปที่ร้านของเจียวต้าทุกครั้งเพื่อพูดคุย
ในวันนั้นเมื่อกู้ฉวนลู่มาถึงร้านของเจียวต้า และก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร เขาก็ได้ยินเจียวต้าพ่นลมอย่างเย็นชา
กู้ฉวนลู่หันหลังกลับไปมองที่ประตูร้าน และเห็นเจียวต้าจ้องมองข้างนอกร้านอย่างเย็นชา กู้ฉวนลู่จึงมองตามสายตาของเจียวต้าไปด้วยความสงสัย และเห็นกู้เสี่ยวหวานกำลังซื้อข้าวอยู่ในร้านขายธัญพืช
กู้ฉวนลู่เห็นว่ากู้เสี่ยวหวานซื้อแป้งสาลีมาหลายสิบชั่ง และชายหนุ่มที่ร้านธัญพืชตรงข้ามก็ดูกระตือรือร้นและคุ้นเคยกับนางอย่างมาก จึงเดาว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่กู้เสี่ยวหวานมาที่นี่อย่างแน่นอน
ได้ยินเจียวต้าพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าสาวน้อยยากจนคนนั้นมาจากไหน แต่นางมีเงินพอซื้อข้าวขาวและแป้งเลยทีเดียว!”
ว่าอย่างไรนะ เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้ฉวนลู่ก็ตกตะลึงมากขึ้น จึงมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง และพบว่าสาวน้อยคนนี้พูดจาไพเราะตรงไปตรงมา ไม่มีการเจียมเนื้อเจียมตนเหมือนที่เคยเป็น
เขาอดไม่ได้ที่จะงุนงง และก็พูดซ้ำอีกว่า “ใช่ เมื่อดูจากรูปลักษณ์และเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งที่สาวน้อยคนนี้สวมใส่ ข้าไม่รู้เลยว่านางไปเอาเงินมาจากไหน!”
“สาวน้อยคนนี้ เคยมาที่นี่สองครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา” เจียวต้ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย กัดฟันด้วยความเกลียดชัง และก่นด่าถึงบรรพบุรุษของเถ้าแก่ร้านธัญพืชเฉิงซิ่นกับเสี่ยวเอ้อ เห็นชัดว่าร้านของเขาควรได้เปรียบ สาวน้อยคนนี้ดูไม่มีอะไรพิเศษแต่กลับซื้อสินค้าไปอย่างใจกว้าง!
“มาสองครั้งแล้วหรือ?” กู้ฉวนลู่ฉงนสงสัย มีเงินมากพอที่จะซื้อข้าวและแป้งได้มากขนาดนี้เลยหรือ?
“มาซื้อข้าวและแป้งสาลีทุกครั้ง! นี่เพียงพอสำหรับทั้งครอบครัวเป็นหลายเดือนทีเดียว!” ยิ่งทำกิจการนี้มากเท่าไรก็ยิ่งทำเงินได้มากขึ้น พ่อค้าแม่ค้ามีใครบ้างที่ไม่ต้องการให้กิจการของครอบครัวเจริญรุ่งเรือง
เจียวต้ารู้สึกเสียใจเล็กน้อยอยู่ในใจ ด้วยรู้ว่าเขาไม่ควรดูถูกคนอื่นในเวลานั้น
แต่สาวน้อยคนนั้นก็น่ารังเกียจเช่นกัน!
“โอ้!” กู้ฉวนลู่ไม่ได้พูดอะไร แต่ซ่อนร่างของตนเองอย่างระมัดระวังจากสายตาของกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อกู้เสี่ยวหวานออกจากร้านธัญพืชเฉิงซิ่นพร้อมถุงใบน้อยใหญ่ กู้ฉวนลู่ก็ยังไม่แน่ใจว่ากู้เสี่ยวหวานกลายเป็นคนรวยตั้งแต่เมื่อไร? ความคิดแรกของกู้ฉวนลู่คือกู้ฟางสี่มอบให้หรือไม่ แต่หลังจากคิดแล้วเขาก็ยอมแพ้ ครอบครัวของกู้ฟางสี่อดมื้อกินมื้อ และยิ่งไปกว่านั้นเงินของครอบครัวทั้งหมดอยู่ในมือของบุรุษคนนั้น ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่กู้ฟางสี่จะใช้มัน
หรือจะเป็นกู้ฉวนโซ่ว? นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ กู้ฉวนลู่จะไม่ทราบได้อย่างไรว่านิสัยของเฉาซื่อเป็นเช่นไร? นางเป็นคนตระหนี่ที่ต่อให้ถลกหนังออกมาแล้วก็ไม่อาจปอกลอกเงินออกมาได้แม้แต่อีแปะเดียว
หรืออาจเป็นเงินกู้ฉวนฝูที่ทิ้งไว้ให้? หรืออาจจะเป็นพ่อเฒ่ากู้ทิ้งไว้ให้?
ถ้าหากเป็นผู้เฒ่ากู้ทิ้งไว้ให้ อย่างนั้นมันควรเป็นของครอบครัวกู้ทั้งหมด ทำไมถึงต้องให้กับครอบครัวรองเท่านั้น? กู้ฉวนลู่ครุ่นคิดเป็นเวลานาน เขาไม่แม้แต่จะคุยกับเจียวต้าต่อ หลังจากนั้นจึงรีบบอกลา และกลับไปที่ร้านอาหารทันที
หลังจากกลับมา เขาระบายความโกรธกับซุนซื่อในทันที และบอกซุนซื่อให้ไปสอดแนมที่บ้านของกู้เสี่ยวหวาน
“สามี ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร? ท่านหมายความว่าตาเฒ่านั่นทิ้งเงินไว้ให้ครอบครัวรองเช่นนั้นหรือ?” เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ซุนซื่อก็พลันเป็นกังวล
นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นการรังแกบ้านหลักของพวกเขาหรือไม่! ไม่มีบ้าน คนผู้นี้ก็ตายไปแล้ว ไม่เหลือแม้แต่อีแปะเดียว มันคือการสูญเสียของพวกเขา
กู้ฉวนลู่และซุนซื่อไม่คิดว่าการที่พวกเขารีบแยกครอบครัวในวันนั้นเพราะกลัวว่าหนี้ของสะใภ้สามจะตกเป็นภาระของครอบครัวตนเอง จึงรีบแยกบ้านอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้บ้านหรือที่ดินใด ๆ แต่เงินทั้งหมดในครอบครัวกลับถูกพวกเขาปล้นไป
ต่อมาเมื่อพวกเขาใช้เงินหมดก็พบว่าในมือนั้นไม่มีสมบัติใด ๆ จึงเกิดรู้สึกเสียดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเสียชีวิตของผู้เฒ่ากู้ ทรัพย์สินทั้งหมดในบ้านเก่าของครอบครัวกู้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน และไม่มีส่วนแบ่งในครอบครัวของกู้ฉวนลู่เลย ซึ่งนั่นทำให้ซุนซื่อไม่พอใจอย่างยิ่ง
คราวนี้เมื่อได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานซื้อข้าวและแป้ง ซุนซื่อก็รู้สึกเจ็บใจ ถ้าเงินที่ซื้อข้าวและแป้งสาลีเป็นเงินที่ผู้เฒ่ากู้เหลือไว้ให้จริง ๆ มันก็คงเป็นเงินจำนวนมาก เมื่อคิดถึงเงินจำนวนมหาศาลที่ไม่ได้รับสักครึ่งหนึ่ง หัวใจของนางก็ขุ่นเคืองมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเด็กพวกนี้จะได้กินอิ่มก็คงไม่แปลก ไม่อย่างนั้นจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อข้าวและแป้งสาลี!” กู้ฉวนลู่คิดและวิเคราะห์เกี่ยวกับมัน
“สามี กลับไปหากันเถอะ ถ้ามันเป็นเงินเหลือจากตาเฒ่านั่นจริง ๆ เราก็ควรจะได้หนึ่งในสามของพวกนี้ด้วย!” ซุนซื่อพูดอย่างจริงจัง
“นี่… ข้าเกรงว่ามันจะไม่ดี?” กู้ฉวนลู่รู้สึกผิดเล็กน้อยในใจเมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของซุนซื่อ พวกเขาเอาเงินทั้งหมดของครอบครัวไปเมื่อตอนแยกครอบครัว ในเวลานั้นเงินก็เพียงพอที่จะซื้อบ้านในเมือง แต่พวกเขากลับใช้มันจนหมด
ถ้าเงินที่กู้เสี่ยวหวานใช้นั้นเป็นเงินที่ผู้เฒ่ากู้ทิ้งไว้ นั่นต้องเป็นเพราะผู้เฒ่ากู้รู้สึกเสียใจที่กู้ฉวนฟู่ชำระหนี้ในการแต่งงานกับเฉาซื่อในนามของกู้ฉวนโซ่ว ถ้าเขาที่เป็นลุงยืนกรานที่จะขอ หากชาวบ้านรู้เข้าก็ไม่รู้ว่าจะเอานินทาหรือเปล่า?
โชคดีที่กู้ฉวนลู่เคยเรียนหนังสือมาก่อน เขายังถือว่าเป็นปัญญาชนครึ่งหนึ่ง ถ้าซุนซื่อเริ่มสร้างปัญหาจริง ๆ เกรงว่าพวกเขาจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากห้องนี้ได้
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ลุงใหญ่เริ่มระแคะระคายแล้ว ปกป้องตัวเองและน้อง ๆ ด่วนค่ะเสี่ยวหวาน
ไหหม่า(海馬)