ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1099 ความกังวลของเสี่ยวหวาน
บทที่ 1099 ความกังวลของเสี่ยวหวาน
บทที่ 1099 ความกังวลของเสี่ยวหวาน
เขานึกถึงถานอวี้ซูที่บอกว่า นางรู้ว่าน้ำแกงเม็ดบัวนี้เป็นน้ำแกงที่เขาปรุงขึ้นมาด้วยตนเอง และนางดื่มเข้าไปโดยไม่ยอมบ้วนทิ้งทั้งที่มันลวกปากอยู่อย่างนั้น ครั้นคิดถึงยามที่นางเรียกชื่อของเขาพร้อมด้วยเสียงหัวเราะคล้ายเสียงระฆังขึ้นมาอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็พลันกระตุ้นหัวใจของเขาให้สั่นไหว ราวกับมีเมล็ดพันธุ์กำลังหยั่งรากลึกลงไปช้า ๆ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ขอแค่ได้พบหน้าของถานอวี้ซู ดวงใจของกู้หนิงผิงก็มีความสุขแล้ว
มันเกิดอาการว้าวุ่นกระสับกระส่าย มิหนำซ้ำหัวใจดวงนี้ยังเต้นรัวอีก
จนในที่สุด เขาก็ลุกขึ้นมาหากู้หนิงอันและถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ท่านพี่ ท่านช่วยบอกข้าที เหตุใดทุกครั้งที่ข้าได้พบคุณหนูถาน ใบหน้าของข้าถึงได้แดงขึ้น ซ้ำแล้วหัวใจของข้ามันยังเต้นเร็ว แม้แต่ยามพูดก็ตะกุกตะกัก ท่านว่าที่เป็นเช่นนี้ มันเพราะเหตุใดกัน”
หลังจากกู้หนิงอันได้ยินคำถามของกู้หนิงผิง เขาก็วางหนังสือลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองน้องชายที่ใบหน้าแดงไปจนถึงใบหู
เขาไม่ได้ตอบคำถามของผู้เป็นน้องชายในทันที
แต่ทันใดนั้น ในหัวก็ปรากฏภาพคนคนหนึ่งขึ้นมา
เขาเคยรู้สึกประหลาดใจมาก่อนว่า เหตุใดสวีเฉิงเจ๋อผู้ที่พูดน้ำไหลไฟดับในชั้นเรียน ถึงได้พูดไม่ออกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อนึกถึงท่าทางแสดงออกที่แสนเจ็บปวดของสวีเฉิงเจ๋อตอนที่ได้เจอกันครั้งสุดท้าย กู้หนิงอันก็ราวกับว่ามีบางอย่างเข้ามากระแทกดวงใจของเขาอย่างรุนแรง
และในเวลานี้ กู้หนิงผิงได้ถามเขาเช่นนี้
กู้หนิงอันมองเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันเข้ามาในหัวของเขา
เป็นไปได้หรือไม่ที่กู้หนิงผิงจะตกอยู่ในห้วงแห่งความรักเสียแล้ว
กู้หนิงอันข่มความเสียใจไว้ภายในใจก่อนจะพูดติดตลกด้วยรอยยิ้ม “เฮ้ น้องพี่กำลังมีความรักใช่หรือไม่ เจ้าตกหลุมรักหญิงตระกูลใดไม่เห็นพูดถึงเลย ถ้าเยี่ยงนั้นให้ข้าลองเดา…” จากนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นเดาจริง ๆ และเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอเดา… คุณหนูถานคือหญิงผู้นั้นใช่หรือไม่”
เพียงแค่ครู่เดียวที่ถูกพี่ชายพูดความในใจ ใบหน้าสีขาวของกู้หนิงผิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงไปอีกครั้ง
เขาลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยและตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ใช่ ๆ ท่านพี่ ท่านอย่าเดามั่วสิ”
ยิ่งอธิบาย น้ำเสียงก็ยิ่งลนลาน ยิ่งอธิบาย ใบหน้าก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อย ๆ
“การอธิบายคือการปกปิด และการปกปิดก็คือการบอกเล่า” กู้หนิงอันเรียนรู้ประโยคนี้จากกู้เสี่ยวหวานมาตั้งนานแล้ว จึงพูดประโยคนี้หยอกล้อกู้หนิงผิงอออกไปตรง ๆ
“ท่านพี่!” กู้หนิงผิงผู้ซึ่งถูกพูดความในใจก็กดน้ำเสียงไม่พอใจทันที
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าท่านพี่กำลังหยอกล้อตัวเอง แต่มันก็ช่างน่าอายเสียจริง ๆ
เมื่อเห็นกู้หนิงผิงดูเหมือนจะไม่พอใจจริง ๆ กู้หนิงอันจึงหยุดหัวเราะเยาะ “ก็ได้ ข้าจะหยุดพูดมั่ว ๆ จะไม่พูดอะไรไร้สาระแล้ว”
สองพี่น้องพูดคุยกันเงียบ ๆ อยู่ภายในห้อง
น่าเสียดายที่กู้หนิงอันก็เป็นหนุ่มน้อย แต่ยังไม่ได้พบหญิงใดที่จะทำให้เขาหน้าแดง หัวใจเต้นรัวและพูดตะกุกตะกัก แต่พอนึกถึงสวีเฉิงเจ๋อ ในใจเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องถามดู “แล้วคุณหนูถานผู้นั้น นางแสดงออกอย่างไรเมื่อเห็นหน้าเจ้า”
“สีหน้าท่าทางคุณผู้หญิงถานหรือ” กู้หนิงอันครุ่นคิดแล้วตอบ “ยามที่นางเห็นข้า นางก็ดูมีความสุขดี”
มีความสุขดี
นั่นก็ยืนยันว่าถานอวี้ซูไม่ได้รังเกียจกู้หนิงผิง
ทั้งสองคนนั่งซุบซิบกันเกือบทั้งคืน ทว่ายังไม่ได้สาเหตุของการซุบซิบออกมา
จนทนไม่ไหวจริง ๆ ถึงได้เอนตัวลงนอนบนเตียงแล้วหลับไป
ผลที่ตามมาก็คือ ขอบตาของกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงกลายเป็นหมีแพนด้าในเช้าวันต่อมา อีกทั้งยังปรากฏตัวที่โต๊ะอาหารเป็นคนสุดท้าย
ซึ่งคนอื่น ๆ กินข้าวใกล้จะอิ่มแล้ว
ถานอวี้ซูเห็นว่ากู้หนิงผิงกำลังเดินมา นางจึงหันไปกวักมือเรียกเขาด้วยรอยยิ้ม “พี่หนิงผิง มานั่งกับข้าตรงนี้เร็ว”
ถานอวี้ซูเชิญกู้หนิงผิงมานั่งข้างนางด้วยตัวเองพร้อมรอยยิ้มดีใจบนใบหน้า
“ท่านดูสิ ข้าดื่มน้ำแกงเม็ดบัวชามนั้นของท่านเมื่อวาน อาการร้อนในของข้าก็หายไปแล้ว ไว้ข้าจะขอให้แม่ครัวทำอาหารรสจัดสักสองสามอย่างเพื่อชดเชยหลายวันที่ข้าไม่ได้กิน”
ครั้นกู้หนิงผิงได้ยินนางบอกว่าอยากกินอาหารรสเผ็ดร้อน เขาก็ร้อนรนแล้วรีบพูดออกไป “แม่นางถาน แต่ตอนนี้เจ้ายังกินเผ็ดไม่ได้ อาการร้อนในของเจ้าเพิ่งจะทุเลาลง เจ้าต้องดื่มน้ำแกงเม็ดบัวสักสองสามครั้งก่อน รอให้อาการร้อนในของเจ้าหายไปหมดสิ้น แล้วค่อยกินอาหารรสจัดก็ยังไม่สาย”
เมื่อเห็นท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของกู้หนิงผิง แม้แต่กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอวี้ซูเป็นร้อนใน”
ก่อนที่กู้หนิงผิงจะคิดถึงวิธีการตอบ เขาได้ยินถานอวี้ซูพูดออกมาอย่างไม่ได้ถือสาอะไร “เมื่อวานเขาเห็นข้าไม่ได้กินอาหารรสเผ็ดทั้งที่รู้ว่าข้าชอบ ครั้นพอจะกินก็กินก็ลำบากอีก เขาถึงได้รู้นี่แหละเจ้าค่ะ”
หลังจากทีฟังถานอวี้ซูพูด กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกฉงนในใจ
เมื่อเพ่งมองไปที่กู้หนิงผิงที่มีจิตใจอบอุ่นผู้นี้ นางยังไม่เคยเห็นมุมที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ของเขามาก่อน
ขณะจ้องมองกู้หนิงผิงที่หน้าแดงและเคอะเขินจนก้มหัวลงที่โต๊ะ ทันในนั้นก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ นางจึงแกล้งพูดหยอกล้อต่อจากนั้น “น้องชายที่ไม่เคยสนใจใยดีของข้าผู้นี้ กลายเป็นคนที่จิตใจดีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
แม้แต่ป้าจางก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของกู้หนิงผิงและพูดขึ้นมา “ใช่ หนิงผิงผู้นี้ไม่เคยจะสนใจว่าอาหารที่กินคืออะไร เพราะมีอะไรก็กินหมด ไม่คิดเลยว่ามาคราวนี้เขาจะรู้ว่ายามเมื่อมีอาการร้อนในต้องดื่มน้ำแกงเม็ดบัว ช่างน่าแปลกใจเสียจริง”
คนนั้นว่าไปทาง คนนี้ก็ว่าไปทาง กู้หนิงผิงทนไม่ไหวจนอยากจะขุดหลุมมุดดินหนี
ในเวลานี้ มือไม่ใช่มือ เท้าไม่ใช่เท้าอีกต่อไป คงพูดอะไรมากไม่ได้ไปอีกนาน
ถานอวี้ซูเห็นท่าทางลำบากใจของกู้หนิงผิง นางจึงแก้หน้าช่วยเขา “พี่เสี่ยวหวานเจ้าคะ พี่หนิงผิงดีกับข้ามาก ๆ พวกท่านอย่าล้อเขาเลย”
ก็ยังคงเป็นครั้งแรกของกู้เสี่ยวหวาน นางไม่คาดคิดว่ากู้หนิงผิงจะใช้เวลามากมายในการเอาชนะใจหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างมาก
แต่การเห็นท่าทางที่มีชีวิตชีวาและร่าเริงของถานอวี้ซูนั้นเป็นเรื่องปกติ รวมถึงใบหน้างดงามนั่น มันช่างเป็นสัญลักษณ์ของสาวน้อยที่มีแต่ความสุข ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะทำให้น้องชายของนางมีความสุขไปด้วย
แต่นางไม่ได้เป็นแค่ถานอวี้ซูเท่านั้น ทว่ายังเป็นหลานสาวคนเดียวของท่านแม่ทัพทหารม้าด้วย
ท่านแม่ทัพทหารม้า เป็นข้าราชการชั้นรองลงมา
ยศนี้ได้มาด้วยความดีความชอบที่โดดเด่น การหลั่งเลือดและการเสียสละของตัวเอง ซึ่งมันไม่ได้เสียเปล่าเลย
ทุกวันนี้กู้หนิงผิงยังเป็นบุตรชายคนรองและยังไม่ประสบความสำเร็จใด ๆ ท่านแม่ทัพถานผู้นั้นจะยกไข่มุกอันมีค่าในมือของตัวเองให้หมั้นหมายกับเด็กหนุ่มผมเกรียนอย่างกู้หนิงผิงได้อย่างไร?
——————————————————————–