ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 112 เข้าเมืองกันทั้งครอบครัว
บทที่ 112 เข้าเมืองกันทั้งครอบครัว
บทที่ 112 เข้าเมืองกันทั้งครอบครัว
เมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของน้องสาว กู้เสี่ยวหวานก็คิดว่าเด็ก ๆ คงชอบสิ่งที่เป็นสีแดงและสีเขียวสดใส โดยธรรมชาติพวกเขาก็ชอบสิ่งของสีสดใสกันอยู่แล้ว
หลังอาหารกลางวัน กู้เสี่ยวหวานก็วางแผนที่จะพาน้อง ๆ ไปพักผ่อน แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะพบกับฉือโถวที่มาพร้อมกับเกวียนวัว
“ท่านแม่บอกว่าพรุ่งนี้ก็วันที่สามสิบแล้ว ขอให้ข้าเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อประทัด และฝากให้มาถามพวกเจ้าว่าต้องการอะไรไหม?”
ประทัด? ปรากฏว่ายุคนี้มีประทัดแล้ว กู้เสี่ยวหวานพึมพำในใจ ดูเหมือนว่าธรรมเนียมการจุดประทัดเพื่อต้อนรับเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งในคืนวันที่ที่สามสิบของปีใหม่ก็มีในยุคราชวงศ์ลับแลนี่ด้วย
ไม่ได้คาดหวังว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ เพียงพริบตาเดียววันที่สามสิบก็จะมาถึงแล้ว
ในวันที่สามสิบ เสียงประทัดในหมู่บ้านก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ มีทั้งประทัดชุดใหญ่และเล็ก ในครอบครัวคนรวยบางคนนอกจากจุดประทัดแล้วยังมีดอกไม้ไฟอีกด้วย
เพื่อความเป็นสิริมงคลในช่วงปีใหม่ ต่อให้ครอบครัวจะยากจนเพียงใดก็จะซื้อประทัดจุดต้อนรับปีใหม่
กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตกลงเข้าเมืองพร้อมกับฉือโถว “พี่ฉือโถว รอข้าด้วย ข้าจะเก็บของและไปทันที!”
เมื่อเห็นท่าทางที่กระตือรือร้นของกู้เสี่ยวหวาน ฉือโถวก็มีความสุขมากและดูเหมือนว่ามารดาของเขาจะพูดถูก
ปรากฏว่าในตอนแรกท่านป้าจางขอให้ฉือโถวเข้าเมืองเพื่อซื้อกลอนคู่และประทัด แต่ไม่ได้บอกว่าจะให้ไปกับเกวียนวัว แต่หลังจากคิดเรื่องนี้เองแล้ว นางก็ให้ฉือโถวกลับมาและขอให้ขับเกวียนไป และบอกว่าให้ไปหากู้เสี่ยวหวาน ด้วยเกรงว่าเสี่ยวหวานไม่ได้ซื้อกลอนคู่ที่บ้านก็เลยให้พาเข้าเมืองไปด้วยกัน
นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นเสี่ยวหวานมีความสุขมาก ฉือโถวคิดกับตัวเอง และกู้เสี่ยวหวานคิดถึงเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
ปีใหม่จะมีสีสันได้อย่างไรถ้าไม่จุดประทัดในวันส่งท้ายปีเก่า มีโคลงกลอนและทำนองว่าอวยพรให้ปีใหม่รุ่งเรือง!
เมื่อก่อนไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อข้าวกิน เลยไม่มีเงินซื้อประทัดหรือกลอนคู่ต่าง ๆ เพิ่ม แต่ตอนนี้นางมีเงินอยู่ในมือแล้ว เป็นธรรมดาที่ปีนี้จะรุ่งเรือง ซึ่งหมายความว่าปีหน้าก็จะเจริญรุ่งเรืองเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น กู้หนิงอันก็ฝึกเขียนได้หลายคำแล้ว การขีดเขียนบนพื้นทั้งวันนับว่าไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา จะเป็นการดีกว่าถ้าซื้อกระดาษและพู่กันในเมืองให้กู้หนิงอันเขียนบนกระดาษ
เมื่อคิดดังนี้ กู้เสี่ยวหวานก็กลับมาที่บ้านและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “วันนี้ข้าจะเข้าเมือง พวกเจ้าจะไปด้วยกันไหม?”
กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงที่กำลังเขียนอยู่บนพื้นในขณะนี้ได้ยินพี่สาวกล่าวว่าพวกเขากำลังจะไปในเมืองด้วยกัน พวกเขาก็กระโดดขึ้นด้วยความปีติ “ท่านพี่ ไป ๆๆ!”
กู้เสี่ยวอี้ก็กระโดดอย่างมีความสุขราวกับกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่พานางไปด้วย นางกอดต้นขาของกู้เสี่ยวหวานแน่นและพูดรัวเร็ว “ท่านพี่ ไป ๆๆ!”
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจของน้องชายน้องสาวทั้งสาม กู้เสี่ยวหวานเองก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน “พวกเราจะไปกันตอนนี้ พี่ฉือโถวขับเกวียนวัวมารอเราข้างนอกแล้ว!”
เมื่อได้ยินว่ามีเกวียนวัว กู้เสี่ยวอี้ก็ตะโกนอย่างมีความสุข “โอ้ ๆๆ! มีเกวียนด้วย”
กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงพากู้เสี่ยวอี้เดินออกไปข้างนอกบ้าน จากนั้นพวกเขาก็เรียกอย่างกระตือรือร้น “พี่ฉือโถว …”
กู้เสี่ยวหวานจงใจเดินช้าลง นางต้องการนำเงินติดตัวไปสักหน่อย ด้วยไม่รู้ว่าจะซื้อพู่กันและกระดาษในยุคนี้ได้อย่างไร การนำเงินไปด้วยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิด
กู้เสี่ยวหวานนำเงินออกมาสิบตำลึงจากมุมหนึ่งของเตียงเตา ซึ่งในจำนวนนี้มีเศษเงินสองเหรียญและตำลึงเงินก้อนหนึ่ง กู้เสี่ยวหวานซ่อนเงินอย่างระมัดระวังในอกเสื้อของตน
นางลงกลอนประตูบ้านอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ขึ้นเกวียนและพูดว่า “พี่ฉือโถว วันนี้ต้องรบกวนพี่แล้ว! ”
“ไม่ ไม่ได้รบกวนเลย! ” ฉือโถวพูดไม่เก่งและไม่รู้จะตอบคำพูดของกู้เสี่ยวหวานอย่างไร ดังนั้น เขาจึงพูดได้เพียงเท่านี้ มันทำให้กู้เสี่ยวหวานหัวเราะออกมา
กู้เสี่ยวหวานนั่งบนเกวียนวัว แขนทั้งคู่โอบกู้เสี่ยวอี้เอาไว้ กู้หนิงผิงกระสับกระส่ายและเดินไปนั่งกับฉือโถวที่บังคับวัวอยู่ข้างหน้า กู้หนิงอันนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งและมองดูทิวทัศน์โดยรอบอย่างเงียบ ๆ
สองสามวันนี้อากาศสดใส หิมะละลายเกือบหมดแล้ว ถนนเป็นโคลนเล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าชั้นหิมะหนาทึบ และเนื่องจากเป็นตอนเที่ยง จึงยังมีแสงแดดอบอุ่นฉายลงมา คนที่นั่งบนเกวียนวัวจึงไม่รู้สึกหนาวสักเท่าไร
กู้เสี่ยวหวานที่คุ้นเคยกับการพักผ่อนตอนเที่ยง ในเวลานี้นางไม่สามารถทนต่ออาการง่วงนอนตอนเที่ยงได้จึงหลับตาลงและกอดกู้เสี่ยวอี้ไว้ในอ้อมแขน เมื่อลืมตามาอีกครั้งก็มาถึงเมืองหลิวเจียแล้ว
เด็กครอบครัวกู้มองดูทิวทัศน์โดยรอบด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น ฉือโถวกล่าวว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่เราจะมาที่นี่ วันมะรืนนี้จะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า คนส่วนใหญ่ซื้อของไปหมดแล้วจึงไม่มาตลาดอีก ถ้าเป็นวันปกติคนจะมากกว่านี้”
ในเมืองมีผู้คนมากกว่าในหมู่บ้าน และก็มีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่า กู้เสี่ยวอี้จึงตะลึงเมื่อได้เห็น
แม้จะเป็นวันที่ยี่สิบแปดแล้ว ในเมืองก็ยังมีคนจำนวนมากอยู่! แต่พี่ฉือโถวบอกว่าจริง ๆ แล้วคนจะมากกว่านี้ ถ้าในเมืองมีคนมากกว่านี้ อย่างนั้นควรมีสักกี่คน!
กู้เสี่ยวอี้มองไปบริเวณรอบ ๆ ด้วยดวงตากลมโต ผู้คนในเมืองนี้แต่งตัวดีมาก ดูเสื้อผ้าของพวกเขาสิ บนเสื้อผ้าของพวกเขามีลายปักดอกไม้ และบางคนก็สวมผ้าขนสัตว์เรียบ ๆ ซึ่งดูดีมาก
“ถังหูลู่จ้า ถังหูลู่ทั้งใหญ่ทั้งหวานจ้า…” ดวงตาของกู้เสี่ยวอี้มองไปตามเสียง และเห็นถังหูลู่ที่แขวนอยู่บนไหล่ของพ่อค้าแม่ค้า มันเป็นแท่งไม้ที่เสียบผลไม้สีแดงดูน่าอร่อยจนกู้เสี่ยวอี้ต้องกลืนน้ำลาย ถังหูลู่นี้มีสีแดงที่ดูน่าอร่อยจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานกอดกู้เสี่ยวอี้ไว้ตลอดเวลา กู้เสี่ยวอี้ที่เป็นเด็กจึงไม่สามารถละสายตาเมื่อเห็นอาหารอร่อยได้ กู้เสี่ยวหวานจะไม่รู้ได้อย่างไร นางรีบเรียกพ่อค้าขายถังหูลู่ไว้ทันที “เฮ้ พี่ชาย รอก่อน! ถังหูลู่ขายอย่างไรหรือเจ้าคะ?”
“ไม้ละสองเหรียญ!” คนขายถังหูลู่ดีใจมากเมื่อได้ยินคนมาถามราคา
ปีใหม่แล้ว คนตามท้องถนนก็มีไม่มาก คนรวยในเมืองนี้จะไม่กังวลกับสิ่งที่ไม่อร่อยในช่วงปีใหม่ ถังหูลู่นี้จึงไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา ส่วนคนไม่มีเงินต้องใช้เงินมากในวันส่งท้ายปีเก่าจึงไม่สามารถใช้เงินซื้อถังหูลู่ได้
เวลาผ่านไปครึ่งวันแล้ว และวันนี้ยังขายไม่ได้ พ่อค้าเลยอดกังวลไม่ได้ มันไม่ง่ายเลยที่จะมีใครสักคนมาถาม และเด็ก ๆ เหล่านี้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน คาดว่าพวกเขาคงมาซื้ออย่างแน่นอน ในใจของเขาจึงรู้สึกมีความสุขมาก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ได้ออกไปเปิดหูเปิดตากันแล้ว ขอให้ชีวิตดีขึ้นทั้งบ้านรับปีใหม่เลยน้า
ไหหม่า(海馬)