ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1137 ความแตกต่างทางฐานะ
บทที่ 1137 ความแตกต่างทางฐานะ
กู้หนิงผิงมองคำสองคำที่เฉเฉียงเอียงเอน กู้เสี่ยวหวานกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “นางบอกว่า นี่เป็นงานปักชิ้นแรกของนาง นางมอบให้เจ้า ปู่ของนางมีเรื่องด่วน เขาจึงต้องพานางกลับไปโดยไม่ได้บอกลาสักคำ ข้าคิดว่ามีเรื่องสำคัญมาก เมื่อพวกเราไปถึงเมืองหลวง พวกเราสามารถไปหาอวี้ซูได้”
กู้เสี่ยวหวานไม่อยากเห็นความไม่รู้จักคิดของน้องชาย แล้วต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ จึงรีบปลอบใจ
กู้หนิงผิงไม่ละสายตาจากผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ เขาถือมันไว้ในมือราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
เมื่อมองไปที่ตัวอักษรสองตัว หนิง กับ อวี้ ที่ปักไว้บนผ้าเช็ดหน้า มันเหมือนกับการได้เห็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก
หลังจากฟังคำพูดของกู้เสี่ยวหวานแล้ว ใบหน้าของกู้หนิงผิงไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว ในทางกลับกัน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เพราะว่ากู้หนิงผิงก้มหน้าลงตลอดเวลา กู้เสี่ยวหวานจึงไม่เห็นความโศกเศร้าในดวงตาของเขา
ครั้นกู้หนิงผิงไม่พูดอะไร กู้เสี่ยวหวานจึงรีบฉีกผ้าเช็ดหน้าของนางเพื่อพันแผลให้แน่น “หนิงผิง ไปกันเถอะ พวกเรารีบกลับบ้านกัน”
บาดแผลของเขาลึกมาก และตอนนี้แผลเริ่มปริออกอีกแล้ว เลือดไหลชุ่มไปหมด ถ้าไปรักษาแผลไม่ทัน เกรงว่าแขนข้างนี้จะใช้การไม่ได้
กู้หนิงผิงดูเหมือนจะหมดสติลงตลอดเวลา และถูกฉือโถวดึงขึ้นมา
“หวานเอ๋อร์!” ในเวลานี้นางก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกดังขึ้น
กู้เสี่ยวหวานได้ยินคนเรียกตนเอง นางก็รีบตอบกลับ “ข้าอยู่นี่”
ครั้นเห็นฉินเย่จือควบม้ามาทางนี้ จากนั้นกระโดดลงมาจากหลังม้าฉับไว เขาอุ้มกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขนด้วยสีหน้าตกใจ “หวานเออร์ เจ้าทำให้ข้าตกใจหมดเลย เจ้ารู้หรือไม่”
กู้เสี่ยวหวานไล่ตามกู้หนิงผิงออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด
ฉินเย่จือพักผ่อนอยู่ในห้อง เขารอจนครึ่งค่อนวันก็ไม่เห็นกู้เสี่ยวหวานกลับมา ดังนั้นจึงรีบส่งอาโม่ออกมาตามหาด้วยความร้อนใจ
แต่กลับได้รับแจ้งว่ากู้เสี่ยวหวานขี่ม้าออกไปด้วยความลุกลี้ลุกลน
ถามผู้ใดก็ไม่มีใครรู้ว่านางไปที่ไหน
เมื่อฉินเย่จือได้ยินดังนั้นก็ตะลึงงัน
เขาไม่สนใจบาดแผลบนร่างกายของตนเองอีกแล้ว เอาแต่ตามหาผู้คนไปทั่ว
โชคดีที่ยังมีคนเห็นกู้เสี่ยวหวานขี่ม้ามาทางนี้ และชี้ไปยังทิศทางที่กู้เสี่ยวหวานไป ฉินเย่จือจึงไล่ตามมาที่นี่
เพราะท้องฟ้ามืดแล้ว ทำให้มองเห็นสิ่งรอบกายได้ไม่ชัดเจน เขาจึงขี่ม้าและตะโกนเรียกกู้เสี่ยวหวานมาตลอดทาง และโชคดีที่ได้พบนางในที่สุด
กู้เสี่ยวหวานถูกฉินเย่จือดึงเข้าไปกอดเต็มอก เมื่อนางคิดว่าตอนที่ตัวเองออกมาแล้วไม่ได้บอกใคร และเห็นท่าทีเป็นกังวลของฉินเย่จือ ในใจก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
“อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ทำไมเจ้าถึงออกมา” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย นางถูกฉินเย่จืออุ้มไว้ในอ้อมแขน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองหากแต่เต็มไปด้วยความสุข
“ครั้งหน้าจะออกไปไหนต้องบอกข้าก่อนรู้ไหม คนเหล่านั้นบอกข้าว่าเจ้าขี่ม้าออกไป ข้าเป็นกังวลมาก ทักษะการขี่ม้าของเจ้ายังไม่ดีนัก หากเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร”
ฉินเย่จือแทบจะเสียสติไปแล้ว
เด็กคนนี้ช่างดื้อรั้นเสียจริง ๆ
เขาดึงกู้เสี่ยวหวานเข้ามากอดอย่างแรง คล้ายกับต้องการลงโทษนาง
กู้เสี่ยวหวานถูกฉินเย่จือกอดจนหายใจไม่ออก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจปล่อยนางทันที
ทั้งสองทำมันโดยธรรมชาติ ราวกับว่าทำมาหลายครั้งแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉือโถวเห็นการแสดงออกของคนทั้งคู่ แต่คราวนี้กลับต้องเห็นอีกครั้งอย่างตำตา เขาพลันรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดตรงหัวใจ
เขาก้มหน้าลงงุด ไม่กล้ามองภาพตรงหน้า
ทั้งหัวใจและสายตาของกู้หนิงผิงเต็มไปด้วยถานอวี้ซู เขากำลังคิดถึงถานอวี้ซู
ไม่เคยละสายตาจากผ้าเช็ดหน้าและจี้หยกที่อยู่ในมือตัวเองเลย ดูเหมือนว่ายังมีความอุ่นและมีกลิ่นของถานอวี้ซูติดอยู่
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ
บาดแผลของกู้หนิงผิงไม่สามารถรอช้าได้ ต้องรีบกลับไปหาหมอโดยเร็วที่สุด
ตอนนี้มีม้าสองตัวพอดี กู้เสี่ยวหวานไปกับฉินเย่จือ ฉือโถวไปกับกู้หนิงผิง
พวกเขารีบกลับไปอย่างรวดเร็วโดยที่ฉือโถวขี่ม้าพากู้หนิงผิงกลับเมืองรุ่ยเสียนเพื่อทำแผล
เมื่อมองม้าของฉือโถวที่วิ่งไปจนลับสายตา แต่ม้าตัวนี้ยังคงไปอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ เดินไปทีละก้าว
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกกังวล “ทำไมม้าตัวนี้เดินช้าแบบนี้ พวกเขาไปกันหมดแล้ว”
เชือกบังเหียนอยู่ในมือของฉินเย่จือ ม้าตัวนี้จะเดินช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับฉินเย่จือ
เป็นความตั้งใจของฉินเย่จือ
เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นแสงจันทร์อันเย็นยะเยือกในตอนกลางคืนพร้อมสายลมอ่อน ๆ ที่พัดโชยมา และทั้งสองก็ขี่ม้าตัวเดียวกันภายใต้แสงจันทร์ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงาม
ในขณะนี้ กู้เสี่ยวหวานตกอยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่จืออีกครั้ง กลิ่นหอมจาง ๆ จากกู้เสี่ยวหวานลอยมาเตะที่ปลายจมูกของชายหนุ่ม มันเป็นกลิ่นที่น่าหลงใหล
ฉินเย่จือจะสนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองได้อย่างไร เขาหวังอยากจะอยู่บนถนนสายนี้นาน ๆ
“พวกเรามาคุยกันเถอะ” จู่ ๆ ฉินเย่จือก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ราวกับพยายามกลั้นอะไรบางอย่าง
ความหอมหวานจากกู้เสี่ยวหวานทำให้ฉินเย่จือจิตใจฟุ้งซ่าน
เขาอายุยี่สิบกว่าแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะชอบกู้เสี่ยวหวานตอนเด็ก เขาคงเคยลิ้มรสความรักระหว่างชายหญิง
เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังคงไร้เดียงสา ยกเว้นตอนบ่ายที่ดูเหมือนจะได้กลิ่นอันหอมกรุ่นและแทบจะทำให้เขาทนไม่ไหว
แค่หยกเนื้ออ่อนอยู่ในอ้อมแขน ร่างกายนี้ไม่สามารถเสแสร้งได้
ตัวเองไม่ใช่หลิวเซียฮุย
ทำได้เพียงเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการพูดคุยกับกู้เสี่ยวหวานด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ลูกแมวในอ้อมแขนตัวเล็กเกินกว่าจะขยับได้
ฉินเย่จือรู้สึกหงุดหงิด อาหารอันโอชะอยู่ในหม้อแล้ว แต่มันยังไม่สุกดี เอาแต่ส่งกลิ่นหอมโชย แต่ไม่สามารถกินได้
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่า ตอนที่โดนกอด ร่างกายของตัวเองแข็งทื่อ ความร้อนที่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่จือทำให้นางรู้สึกร้อนผ่าว
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
นางหน้าแดงซ่าน พยายามระงับความรู้สึกตอนนี้ ไม่ให้ตัวเองกระตุ้นความรู้สึกของฉินเย่จือ และพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ตกลง”
บางทีกู้เสี่ยวหวานอาจไม่รู้ตัว สิ่งที่นางพูดในตอนนั้น ดูเหมือนจะเป็นประโยคธรรมดา แต่ตอนนี้เพราะเสียงขึ้นจมูก จึงเหมือนว่ากำลังแกล้งฉินเย่จือ
เสียงที่นุ่มนวลนั้นเหมือนเจียงหนานในเดือนสี่กระแทกเข้าไปในหัวใจอย่างจัง
ฉินเย่จือรู้สึกเพียงว่าแรงกระตุ้นที่ตัวเองพยายามสะกดไว้ ตอนนี้เหมือนกับสัตว์ที่หลุดออกจากกรง ส่งเสียงร้องและพร้อมจะตะครุบเหยื่อตัวเล็กตรงหน้าได้ทุกเมื่อ
การเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา กู้เสี่ยวหวานอยู่ใกล้เสียจนรับรู้ถึงความรู้สึกทั้งหมดจริง ๆ
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานเหมือนกับแสงอาทิตย์ยามตะวันรอน ๆ ดวงอาทิตย์สีแดงดั่งไฟ
เพราะฉินเย่จืออยู่ข้างหลัง จึงไม่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของกู้เสี่ยวหวาน แต่เห็นว่าร่างกายของคนในอ้อมแขนแข็งทื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงแอบหัวเราะเยาะตัวเองในใจ เกรงว่าตัวเองจะทำให้ลูกแมวตกใจ
ว่าแต่ลูกแมวน้อย เมื่อไรเจ้าจะโตเสียที
กู้เสี่ยวหวานหน้าแดง เห็นว่าคนที่อยู่ข้างหลังจู่ ๆ ก็หายไป
นางหันกลับไปมองจึงเห็นฉินเย่จือลงจากหลังม้า เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงด้านหน้าของม้า และลากเชือกบังเหียนพลางส่งยิ้มเบา ๆ ให้กู้เสี่ยวหวาน “เจ้านั่งอยู่บนหลังม้า ข้าจะจูงม้าไปเอง”
ตอนนี้มันสวยมากจนฉินเย่จือเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ลูกแมวยังเล็กเกินไป และเขาไม่ต้องการทำให้นางตกใจ
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นฉินเย่จือลงจากหลังม้า นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
ยังคงมีความอึดอัดใจอยู่ แต่มันก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก
อ้อมกอดที่ร้อนเช่นนี้ แม้แต่ร่างกายของนางก็ร้อนเช่นกัน
เมื่อมองฉินเย่จือลากบังเหียนอยู่ข้างหน้า ร่างกายของกู้เสี่ยวหวานที่เคยแข็งทื่อพลันเหมือนได้รับการพักผ่อน
แต่ดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกผิดหวัง
ผิดหวัง…
นางผิดหวังอะไร
ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็นึกถึงคำนี้ ร่างกายก็แข็งทื่ออีกครั้ง
โชคดีที่คนตรงหน้ากุมบังเหียนเอาไว้ จึงไม่เห็นกิริยาของนาง จึงได้สงบลง
“หนิงผิงชอบอวี้ซูใช่ไหม” จู่ ๆ ฉินเย่จือก็ถามขึ้นมา
ลูกศิษย์คนนี้อยู่เคียงข้างเขามาหลายปีแล้ว ฉินเย่จือมีความชัดเจนในอารมณ์ของเขา
กู้หนิงผิงไล่ตามมาถึงที่นี่ คือไล่ตามถานอวี้ซูมา
นอกจากนี้ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กู้หนิงผิงกับถานอวี้ซูไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ตอนที่มองถานอวี้ซู ความสุขในดวงตานั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ฉินเย่จือเองก็เคยเป็นมาก่อน แล้วเขาจะไม่เข้าใจสายตานั้นได้อย่างไร
โดยเฉพาะครั้งนั้นที่บ้านตระกูลจิน ฉินเย่จือก็เห็นอยู่กับตา
เด็กชายคนนี้เป็นคนจริงใจ
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจและพูดว่า “สิ่งที่เขาคิดมักจะแสดงออกทางสีหน้าเสมอ ข้าเกรงว่าทุกคนจะรู้”
ทุกคนรู้ แล้วถานอวี้ซูล่ะ นางรู้หรือไม่รู้กันแน่
ตอนนี้นางจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่สำคัญ
เกรงว่านอกจากองค์ชายองค์หญิงแล้ว ตัวตนของถานอวี้ซูน่าจะมีสถานะสูงสุดของราชวงศ์