ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 117 เป็นศิษย์
บทที่ 117 เป็นศิษย์
บทที่ 117 เป็นศิษย์
กู้เสี่ยวหวานอธิบายว่า “อาจารย์ เดิมทีข้าตั้งใจจะส่งน้องชายสองคนไปสำนักศึกษาหลังปีใหม่ ติดตรงที่ในหมู่บ้านของเราไม่มีครู แต่น้องชายสองคนของข้าโตแล้วจึงไม่อยากรอช้า ข้าไม่ต้องการชะลอการเรียนของพวกเขาเพราะต้องไปเดินหาสำนักศึกษาในเมือง แต่ไม่คิดว่าจะได้เจออาจารย์ที่ดีในวันนี้ ซึ่งทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และอยากให้น้องชายสองคนได้เรียนอย่างเร็วที่สุด!”
สวีเซียนหลินลูบเคราของเขาแล้วถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นอาจารย์ที่ดี?”
“เมื่อสักครู่ นักเรียนของท่านมาหาท่านพร้อมคำถาม และข้าเห็นความกระตือรือร้นและความทุกข์ใจของท่าน เมื่อท่านเห็นว่านักเรียนของท่านไม่เข้าใจคำถาม ต่อมาเมื่อท่านสอนนักเรียน นักเรียนของท่านไม่เข้าใจ แต่ท่านกลับไม่แสดงสีหน้าลำบากใจที่จะทำเช่นนั้น สอนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งท่านยังเห็นว่าเราชอบอ่าน ท่านก็ให้อะไรกลับมากมาย แต่เก็บเงินเราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งแสดงความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจของท่าน นี่คือคุณธรรมและลักษณะที่อาจารย์ควรมี!”
“แล้วเจ้าคิดว่าอาจารย์ควรมีคุณธรรมและลักษณะแบบไหน?” เมื่อเห็นเด็กหญิงคนนี้สังเกตอย่างระมัดระวัง สวีเซียนหลินก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เสี่ยวเซิ่งจื่อที่บอกเขาไปแล้วว่านางมาจากหมู่บ้านอู๋ซี ตนเองคงตัดสินอย่างผิดพลาดจากนิสัยที่ดีของเด็กสาวคนนี้
“อย่างคำกล่าวที่ว่าต้องใช้เวลาสิบปีในการปลูกต้นไม้ แต่ต้องใช้เวลาร้อยปีในการปลูกฝังคน การจะเป็นอาจารย์ต้องแก้ไขตนเองเสียก่อนจึงจะสอนและให้ความรู้แก่ผู้อื่นได้ อันเป็นรากฐานจำเป็นของศีลธรรมของอาจารย์ในการสอนและให้ความรู้แก่ผู้คน และการเรียนรู้ที่จะเป็นอาจารย์และผู้ที่ให้การศึกษาแก่ผู้อื่นจะต้องฝึกฝนตนเองก่อน” กู้เสี่ยวหวานพูดไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับคุณธรรมของการเป็นอาจารย์ในหัวใจของนาง แต่นางไม่รู้ว่าในราชวงศ์นี้ไม่มีใครเคยพูดถึงมัน ยิ่งสวีเซียนหลินได้ยินมันมากเท่าใด เขายิ่งรู้สึกว่าคำพูดที่พูดนั้นมีค่าและเฉียบคมจริง ๆ เป็นการฝึกฝนและแบบอย่างที่อาจารย์ควรมี
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม! ” สวีเซียนหลินรอให้กู้เสี่ยวหวานพูดจบ จึงปรบมือเห็นด้วย เขายกนิ้วให้และชมเชยโดยไม่ลังเล “สาวน้อยยังเด็กมาก แต่กลับเข้าใจหลักการพื้นฐานเป็นอย่างดี เจ้ามีพรสวรรค์และสติปัญญาที่หายากนัก”
น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี มิฉะนั้นสวีเซียนหลินจะดึงเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ให้เรียนรู้ศิลปะ อย่างไรก็ตามต่อให้สอนเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ แต่เด็กชายฝาแฝดสองคนนี้สามารถปลูกฝังได้
ดูเหมือนว่าตอนนี้เมื่อนึกถึงคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน สวีเซียนหลินจึงถามว่า “สาวน้อย เจ้าเพิ่งพูดว่าต้องการให้น้องชายทั้งสองของเจ้าไปสำนักศึกษาใช่หรือไม่?”
เด็กเหล่านี้ต่างใช้ชีวิตโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยนำทาง แต่พวกเขาทุกคนเชื่อฟังพี่สาวคนนี้ เขากลัวว่าจะไม่มีผู้ใหญ่ในครอบครัว แต่ต่อให้ไม่มีผู้ใหญ่ในบ้าน สาวน้อยคนนี้ก็ยังคงต้องการให้น้องชายของนางเรียนหนังสือ ดังนั้น สวีเซียนหลินจึงเกิดความสงสัย
“ใช่เจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเด็ดขาด
สวีเซียนหลินขมวดคิ้ว กู้เสี่ยวหวานคิดว่าสวีเซียนหลินไม่ชอบเพราะนางไม่สามารถจ่ายเงินค่าตอบแทนได้ ดังนั้น นางจึงปฏิเสธที่จะยอมรับและอธิบายอย่างรวดเร็ว “ท่านลุง ไม่ต้องกังวล ข้ากำลังจะส่งน้องชายสองคนไปสำนักศึกษาอยู่แล้ว จะไม่มีการขาดแคลนค่าตอบแทนแน่นอน!”
เมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานพูดเช่นนี้ ใบหน้าของสวีเซียนหลินก็ดูน่าเกลียดเล็กน้อย “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร! ข้าดูเป็นคนประเภทเห็นแก่เงินหรือ! มันก็แค่…” สวีเซียนหลินมองไปที่ร่างผอมบางของกู้เสี่ยวหวาน “หากน้องชายทั้งสองของเจ้าไปร่ำเรียนในสำนักศึกษา และครอบครัวต้องพึ่งพาเจ้าคนเดียว ในฐานะที่เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงไร้พ่อแม่ เจ้าจะสู้ไหวหรือ?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ในคราวแรกที่มองเด็กหญิง สวีเซียนหลินกลับรู้สึกว่าพวกเขามีสายสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ หากเด็กสองคนนี้ถูกส่งไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาซึ่งต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเป็นเงินจำนวนมาก เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในบ้านที่ไม่มีผู้ใหญ่ดูแลจะรับมือได้อย่างไรโดยปราศจากความช่วยเหลือจากลุงและอา
และอีกอย่างที่บ้านมีแค่เด็กผู้หญิงที่เป็นพี่คนโต แล้วสาวน้อยคนนี้จะทำอย่างไร
ปรากฏว่าท่านลุงคนนี้ลำบากใจเพราะเรื่องนี้
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจด้วยความโล่งอกในเวลานี้ “ท่านลุง ไม่เป็นไร ข้าจัดการเองได้เจ้าค่ะ”
ในตอนนี้เองกู้หนิงผิงก็ไม่พอใจ “ท่านพี่ ข้าจะไม่ไปโรงเรียน ข้าจะช่วยท่านที่บ้าน พี่ชายข้ามีความสามารถในการอ่าน ปล่อยให้เขาไปเรียนเถิด ข้าจะไม่ไปเรียน!”
กู้หนิงอันกล่าวบ้าง “ท่านพี่ ข้าก็จะไม่ไปเรียนเช่นกัน ข้าเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว ควรเลี้ยงดูทั้งครอบครัว ข้าจะปล่อยให้ท่านอยู่ตามลำพังไม่ได้”
เขาเป็นลูกชายคนโต และไม่สามารถพึ่งพาพี่สาวของเขาเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวได้ตลอดเวลา
“พวกเจ้าสองคนหยุดพูดได้แล้ว ถ้าคิดว่าข้ายังเป็นพี่สาว พวกเจ้าจะต้องเป็นมอบตัวเป็นลูกศิษย์ในวันนี้” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเด็ดขาด นางรู้ถึงประโยชน์ของการเรียนเป็นอย่างดี แม้ในอนาคตความรุ่งโรจน์จะไม่สามารถส่องถึงครอบครัวได้ แต่หลังจากเรียนหนังสือแล้ว วิสัยทัศน์และความคิดก็จะต่างจากคนที่ยังไม่ได้เรียนอย่างสิ้นเชิง
“ท่านพี่……” กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงต้องการจะพูดอย่างอื่น แต่เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของกู้เสี่ยวหวาน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้ พวกเขาทั้งสองทำได้แค่เดินเข้ามาใกล้ ๆ สวีเซียนหลินเท่านั้นและกำลังจะคำนับ สวีเซียนหลินกลับรีบดึงพวกเขาขึ้น เพื่อไม่ให้พวกเขาทั้งสองคำนับเขา “พวกเจ้าต้องคิดให้ดีก่อน หากต้องการเรียนในสำนักศึกษาของข้าจะต้องจริงจังและทุ่มเท ต้องตั้งใจ อย่าทำสองสิ่งพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นความพยายามของพี่สาวพวกเจ้าจะสูญเปล่า”
หลังจากที่กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงได้ฟัง หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความกตัญญูต่อกู้เสี่ยวหวาน พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นพยักหน้าอย่างหนักแน่น โค้งคำนับและพูดพร้อมกัน “พวกเราสองคนจะตั้งใจเรียน จะไม่ทำให้อาจารย์และพี่สาวผิดหวัง”
สวีเซียนหลินหัวเราะเสียงดังและพยุงกู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงขึ้นมา “ถ้ามีความคิดเช่นนั้นได้ก็เยี่ยมมาก! วันนี้ข้าจะยอมรับพวกเจ้า”
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าค่าตอนแทนมีราคาเท่าไร เขารับเด็กทั้งสองเป็นลูกศิษย์แล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้กู้เสี่ยวหวานก็ถามว่า “ท่านลุง เมื่อใดที่พวกเขาทั้งสองจะไปโรงเรียนได้หรือเจ้าคะ?”
“โดยทั่วไปชั้นเรียนจะเริ่มหลังจากวันที่สิบห้าของเดือนแรก เดือนหนึ่งมีวันหยุดสองวัน ส่วนวันธรรมดาจะต้องกินและอาศัยอยู่ในโรงเรียน”
“ค่าเล่าเรียนเท่าใดเจ้าคะ? ข้าจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้ในตอนนี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าต้องจ่ายค่าอาหารและค่าที่พักเท่านั้น เดือนละครึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งคน”
“เป็นไปได้อย่างไร? ท่านลุงโปรดรับค่าเล่าเรียนจากข้าเหมือนศิษย์ผู้อื่นด้วยเถิดเจ้าค่ะ ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเราจะอับอายมาก!” กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากท่านลุงคนนี้ ถ้าพวกเขาต้องจ่ายแค่ค่าอาหารและค่าที่พักเท่านั้น ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปในอนาคต ท่านลุงคนนี้จะรับศิษย์คนอื่นได้อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หนิงอันกับหนิงผิงได้อาจารย์แล้ว มองเห็นอนาคตของเด็กบ้านนี้แล้วค่ะ
ไหหม่า(海馬)