ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1205 ขอโทษ
บทที่ 1205 ขอโทษ
บทที่ 1205 ขอโทษ
ฉินเย่จือเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ดังนั้นย่อมมีความต้องการตามธรรมชาติของผู้ใหญ่ แต่ก็พยายามยับยั้งความรู้สึกนั้นไว้เสมอ
อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้ตอนที่เขากำลังจะจุมพิตริมฝีปากแดงสดนั่นอย่างบุ่มบ่าม
ในห้วงลมหายใจสุดท้าย เขาทำได้แค่จูบติ่งหูเล็กเท่านั้น หลังจากได้สัมผัสความหอมหวาน อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเขาก็ยังยากที่จะสงบลง ฉินเย่จือทำได้เพียงซุกใบหน้าของตนเองลงบนซอกคอของกู้เสี่ยวหวาน กอดอีกฝ่ายแน่นราวกับกลัวว่านางจะหายไป กอดแน่นราวกับสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลก
จนกระทั่งเขาสงบอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ในใจลงได้ เขาตระหนักว่าได้ว่าตนเองทำอะไรลงไป
“หวานเอ๋อร์…” ฉินเย่จือเรียกนางเสียงต่ำ หากแต่น้ำเสียงของเขาหวาดกลัวเหมือนเด็กที่ทำอะไรผิดและรอการให้อภัยจากผู้ใหญ่
แต่หลังจากรอเป็นเวลานานก็ยังไม่ได้ยินคำตอบของกู้เสี่ยวหวาน
ฉินเย่จือหวาดกลัวเล็กน้อย “หวานเอ๋อร์”
ยังคงไม่มีการตอบสนอง
ร่างกายทั้งหมดของฉินเย่จือสั่นสนะท้านเล็กน้อย
เขารักกู้เสี่ยวหวานและใส่ใจความรู้สึกของนางมาก ตั้งแต่กู้เสี่ยวหวานถึงวัยปักปิ่น เขาก็คิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะสนิทกับเขามากขึ้น แต่เขาคิดผิด กู้เสี่ยวหวานบอกตัวเองว่านางรักเขา แต่นางยังเด็กและไม่ให้มีการสัมผัสทางร่างกายมากเกินไป
ฉินเย่จือเคารพความคิดของนางอย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่นอกจากการกอดนางและจูบหน้าผากนางเป็นครั้งคราว ฉินเย่จือไม่ได้ล่วงเกินกู้เสี่ยวหวานเลย
เป็นเวลาหลายปี
ในใจของเขา เขารู้สึกมากยิ่งขึ้นว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนที่มีความคิดอยู่ในใจ และเขาก็ไม่กล้าแตะต้องนางมากเกินไป
แม้ว่าในสถานะของเขา เขาสามารถหาผู้หญิงในแบบที่เขาต้องการได้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากตกหลุมรักกู้เสี่ยวหวาน เขาก็รู้สึกเพียงว่านางเป็นคนเดียวในโลกนี้
ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็ราวกับได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้
ไม่สิ มันมีเกียรติมากกว่าคำสั่งจากฮ่องเต้
คำพูดของกู้เสี่ยวหวาน ตราบใดที่มันเป็นความจริง เขาจะปฏิบัติตาม เชื่อฟังและยึดมั่นอย่างไม่มีเงื่อนไข
ตอนนี้แรงกระตุ้นของเขาทำลายข้อตกลงของกู้เสี่ยวหวาน
ฉินเย่จือรู้สึกกลัว… กลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะมีความคิดที่ไม่ดีต่อเขา ฉินเย่จือรู้สึกประหม่า และแม้แต่น้ำเสียงก็สั่นเครือ “หวานเอ๋อร์ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ เมื่อครู่ข้าแค่…”
ฉินเย่จือค่อย ๆ ดันร่างของกู้เสี่ยวหวานออกไปด้วยมือที่สั่นเทา เมื่อเห็นหยาดน้ำตาในดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน หัวใจของเขาก็เต้นแรงด้วยความกลัว
“หวานเอ๋อร์ อย่าเสียใจเลย มันเป็นความผิดของข้า เป็นความผิดของข้าทั้งหมด”
ฉินเย่จือยังคงเอาแต่ขอโทษ
ในตอนนี้ เขาอยากจะทุบกะโหลกตัวเองสักสองสามครั้ง ทำไมถึงยั้งความรู้สึกตนเองไม่ได้กันนะ!
เมื่อมองไปที่หยาดน้ำใสเอ่อคลอในดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน เขายกมือขึ้นและลูบเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว เพื่อปาดน้ำตาออกจากหางต่างของนาง
มีแววตาตำหนิตนเองและความกังวลอยู่ลึก ๆ “หวานเอ๋อร์ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ มันเป็นความผิดของข้า มันเป็นความผิดของข้า”
เขารู้สึกกลัวจริง ๆ
กลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่สนใจเขา กลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะเกลียดเขา
เป็นเวลาหลายปีที่เขารักษาข้อตกลงระหว่างทั้งสองคนเป็นอย่างดี แต่ทำไมวันนี้เขาถึงละเมิดข้อตกลงได้ล่ะ?
การรักใครสักคนคือการเคารพคนคนนั้นโดยธรรมชาติ
กู้เสี่ยวหวานสามารถเห็นความสำนึกผิดในดวงตาของฉินเย่จือได้อย่างชัดเจน
และยิ่งนางเห็นมันมากเท่าไร กู้เสี่ยวหวานก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านอาของนางพูด กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเพียงว่าสมองเอาแต่ตำหนิตนเองไม่หยุด และรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
บางทีคนที่ควรรำคาญและตำหนิมากที่สุดน่าจะเป็นตัวนางเอง
‘เสี่ยวฉินอยู่อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ข้าพูดอย่างไม่อายเลย หวานเอ๋อร์ เสี่ยวฉินใจดีกับเจ้ามาก พวกเจ้าสองคนควรรีบจัดงานแต่งงานได้แล้ว เมื่อผู้ชายอายุถึงเกณฑ์ เขาจะมีความต้องการของตัวเอง’ นางไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าผู้ชายจะมีความต้องการอะไรเมื่อถึงช่วงวัยหนึ่ง
แต่กู้เสี่ยวหวานย่อมรู้โดยธรรมชาติว่าความต้องการนี้คืออะไร นางไม่ได้โต้แย้ง แต่นางรู้สึกเย้ยหยันกับประโยคนี้
ผู้ชายเป็นอย่างไร ชีวิตนี้ไม่ใช่แค่การแต่งงานกับภรรยาและมีลูก ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่สามารถไปไขว่คว้าได้
กู้เสี่ยวหวานมองเหตุและผลของเรื่องนี้ด้วยความคิดเห็นของตนเอง บางครั้งนางก็รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นเกินไป
ในชาติที่แล้ว นางไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีความสุขกับความหอมหวานที่เกิดจากความรัก ไม่เคยมีความต้องการที่จะรักใคร ไม่เคยชอบใคร
เมื่อก่อนนางรู้สึกว่าตัวเองยังเด็ก และเมื่อนึกถึงความรักแบบเด็ก ๆ นางก็ทนอุปสรรคในใจนี้ไม่ไหว
ต่อมา นางรู้สึกว่านอกจากความรักแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำในชีวิต
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นางปล่อยให้ฉินเย่จือไปทำงาน และนางก็ยุ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการขาดแคลนเงินและระดับของชีวิตก็เพิ่มมากขึ้น
ในแง่ของสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันของนาง นางก็มีสถานะที่สมควรได้รับ
นอกจากนี้ นางยังรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฉินเย่จือตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เป็นเหมือนสะพานเล็ก ๆ และน้ำที่ไหลค่อย ๆ บรรจบกันจนเป็นสายธารที่ยาวไกล
นางเข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิตและความมหัศจรรย์ของความรัก
อย่างไรก็ตาม นางไม่ต้องการเป็นดอกไม้ที่ติดตัวผู้ชาย นางมีความฝันและอนาคตของตัวเอง
ชีวิตนั้นสั้นและในเมื่อมีความรักอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่ตามอีกต่อไป
เมื่อมองย้อนกลับไป นางลืมไปว่าความรักไม่จำเป็นต้องไล่ตาม แต่ความรักจำเป็นต้องรักษาไว้
เป็นเวลาเจ็ดปีที่ฉินเย่จืออยู่เคียงข้างนาง รักนาง ปกป้องนาง เขายอมแม้แต่จะเสียสละชีวิตของเขาเองเพื่อปกป้องความปลอดภัยของนาง
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกถึงความสบายใจ
เมื่อรู้ว่าฉินเย่จือชอบนาง เนื่องจากอายุยังน้อย นางจึงคิดเสมอว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องตอบกลับความรักของเขา
ตอนนี้นางเห็นแล้วและรู้ว่าตัวเองคิดผิดอย่างสิ้นเชิง
ฉินเย่จือเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขารอนางมาหลายปี แต่ตอนนี้เขายังคงรักนางอย่างระมัดระวัง
แม้แต่การจูบที่ติ่งหูก็ทำให้เขากลัวมากพอแล้ว เพราะกลัวว่านางจะไม่มีความสุข