ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1211 ไม่เข้าใจสถานการณ์
บทที่ 1211 ไม่เข้าใจสถานการณ์
บทที่ 1211 ไม่เข้าใจสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางเองก็เป็นหญิงสาวในเมืองรุ่ยเสียนแล้ว แต่กู้เสี่ยวหวานยังอาศัยอยู่ในสถานที่ต่ำต้อยอย่างเมืองหลิวเจีย เพียงแค่นางแต่งตัวอย่างสบาย ๆ หญิงบ้านนอกนี่ก็เทียบไม่ติดแล้ว
ตอนที่มา กู้ซินเถาก็คิดเช่นนี้ แต่ว่าตัวเองก็ยังเลือกเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดออกมา คิดจะมาอวดเบ่งแสดงอำนาจแก่กู้เสี่ยวหวาน
ทว่าการเปรียบเทียบนี้ยังจะมีอะไรที่สามารถเปรียบเทียบได้อีก
กู้เสี่ยวหวานอาศัยอยู่ในเมืองหลิวเจีย เมื่อเทียบกับนางที่อาศัยอยู่ในเมืองรุ่ยเสียนนั้นยังใหญ่กว่ามาก ชุดที่สวมอยู่บนร่างนี้ หากเทียบกับเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้ของนาง เกรงว่าราคาจะต้องสูงมาก
สตรีมักชอบเปรียบเทียบ
ข้าเอาของที่ดีที่สุดของข้ามาเทียบกับเจ้า แต่กลับถูกเจ้าทำลายลงเป็นชิ้น ๆ โดยไม่ตั้งใจ ในใจนี้จะไม่โกรธเคืองหรือ
กู้ซินเถายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธมาก ในใจก็ยิ่งเกิดความรู้สึกโกรธแค้นกู้เสี่ยวหวาน
จึงมักจะเงยหน้าขึ้นบ่อย ๆ สายตานั้นก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
กู้เสี่ยวหวานคร้านเกินกว่าจะสนใจกู้ซินเถา เห็นนางยืนอยู่ข้างหลังซุนซื่อ สายตามักจะคอยจ้องมองมาที่ตัวเองอย่างดุดัน กู้เสี่ยวหวานจึงทำเป็นมองไม่เห็น
หลังจากกู้ฉวนลู่นั่งลงด้วยรอยยิ้ม ก็ถูมือและพูดว่า “เสี่ยวหวาน นี่เป็นขนมอบใหม่ของร้านขนมที่ดีที่สุดในเมืองรุ่ยเสียน เจ้าคงจะยังไม่เคยได้ลองชิม ข้าจึงซื้อมาเพื่อให้พวกเจ้าได้ลองชิมกัน”
กู้เสี่ยวหวานขี้เกียจแม้แต่จะมอง จึงไม่ได้สนใจขนมเหล่านั้นและถามอย่างเมินเฉยว่า “พวกท่านมาคงมีธุระ”
“เปล่าหรอก เปล่าหรอก” กู้ฉวนลู่รีบตอบอย่างรีบร้อน “แค่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว จึงมาเยี่ยมพวกเจ้า”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา กู้เสี่ยวหวานก็ยิ้มในใจ
ช่างแปลกประหลาดเหลือเกินที่กู้ฉวนลู่พูดว่าไม่ได้เจอกันนานจึงมาเยี่ยมพวกเขา นี่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือ
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า กู้ฉวนลู่เห็นเช่นนั้นก็คิดว่ากู้เสี่ยวหวานเชื่อแล้ว จึงรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงของผู้อาวุโสว่า “เสี่ยวหวาน ตั้งแต่ที่ข้าย้ายไปที่เมืองรุ่ยเสียนแล้วก็ไม่เคยได้มาที่เมืองหลิวเจียเลย เจ้าอย่าโทษข้าที่ไม่ได้สนใจเรื่องครอบครัวของพวกเจ้า เจ้าเองก็รู้ว่าเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวนี้แล้ว ข้าต้องตื่นแต่เช้าเข้านอนตอนดึกมันไม่ง่ายเลย”
ใบหน้ากู้ฉวนลู่เหมือนผ่านอะไรหลายสิ่งหลายอย่างมา ริ้วรอยระหว่างคิ้วก็มีเพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานยิ้มพลางมองกู้ฉวนลู่ หรือว่าบ้านใหญ่ตระกูลกู้มาร้องทุกข์ว่าอยากจนหรือ?
กู้เสี่ยวหวานฟังกู้ฉวนลู่พูดโดยที่ยังยิ้มอยู่ตลอด ทั้งไม่ขัดจังหวะและไม่ตอบโต้
กู้ฉวนลู่มักจะคอยพูดเองเออเองบ่อย ๆ ซุนซื่อก็ยังคอยแทรกด้วยประโยคสองประโยค ไม่เช่นนั้นคนเดียวพูดเองตั้งแต่ต้นจนจบก็คงน่าอึดอัดเกินไปแล้ว
กู้ฉวนลู่พูดอยู่นานจนปากแห้ง เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานนั่งนิ่งไม่ขยับ ฉือโถวเองก็เหมือนกับเสาไม้ยืนอยู่ข้างหลังกู้เสี่ยวหวานไม่ขยับเขยื้อน
ส่วนฉินเย่จือนั้นอย่างกับปีศาจ กู้ฉวนลู่มองแวบหนึ่งก็ไม่กล้ามองเป็นครั้งที่สองแล้ว
กลิ่นอายบนร่างของบุรุษผู้นี้นั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนกู้ฉวนลู่ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมอง
กู้ฉวนลู่กระหายน้ำ แต่เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานและพวกเขานั่งอยู่อย่างเรียบร้อยและไม่มีทีท่าที่จะรินชาเลย สีหน้าของกู้ฉวนลู่ก็ไม่ค่อยดี ผู้มานั้นเป็นแขก กู้เสี่ยวหวานยังเป็นแค่เด็กน้อย ตัวเองเป็นผู้อาวุโส หรือว่านี่คือการต้อนรับแขกของตระกูลกู้งั้นหรือ
ถ้าหากเรื่องนี้ถูกคนแพร่งพรายออกไป บอกว่าตระกูลกู้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเล่า
กู้ฉวนลู่เห็นกู้เสี่ยหวานรักษารอยยิ้มไว้อยู่ตลอด ก็คิดว่ากูเสี่ยวหวานอารมณ์ดีจึงคิดอยากจะพูดดี ๆ ด้วยเหตุผล
จึงพูดว่า “เสี่ยวหวาน เจ้าดูสิว่าข้ากับป้าของเจ้าจะมานั้นไม่ใช่ง่าย ๆ แม้แต่น้ำก็ไม่ได้ดื่ม ข้ากับป้าของเจ้าก็ไม่คิดตำหนิว่าอะไร อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าหากเป็นผู้อื่นที่มา นี่อาจจะเป็นการสร้างความขุ่นเคืองใจให้แล้ว”
ในที่สุด ซุนซื่อที่อยู่ข้าง ๆ ก็หาหัวข้อที่จะสามารถพูดคุยกับกู้เสี่ยวหวานได้แล้ว จึงรีบตอบรับ “ใช่แล้ว ๆ เสี่ยวหวาน ลุงของเจ้าพูดไว้ไม่ผิด การต้อนรับแขกนี้จะต้องระมัดระวัง บิดามารดาของเจ้านั้นจากไปไว เจ้าก็อยู่ตัวคนเดียว กลัวว่าเรื่องพวกนี้เจ้าจะไม่เข้าใจ แต่แม้ว่าจะไม่เข้าใจ พวกเราก็สามารถสอนกันได้ วันนี้เป็นลุงกับข้า เจ้าจึงไม่เป็นไร พวกเราไม่เก็บเอามาใส่ใจ แต่ถ้าหากเป็นคนอื่น ไม่แน่ว่าอาจจะมีคำพูดที่ไม่น่าฟังก็เป็นได้”
“ใช่แล้ว ที่ป้าของเจ้าพูดนั้นไม่ผิด” กู้ฉวนลู่พูดต่อด้วยท่าทางที่จริงจังและมีความเสียใจ “น้องรองและน้องสะใภ้รองจากไปไวเกิน ถ้าไม่ใช่เพราะเฉาซื่อที่ทำลาย บิดามารดาของเจ้าอาจจะยังอยู่ก็ได้ บางทีครอบครัวพวกเราอาจจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ปีนั้นลุงเองก็ยุ่งมากจนไม่มีเวลาเลี้ยงดูพวกเจ้า หลายปีที่ผ่านมานี้เป็นหนามที่อยู่ในใจลุงมาตลอด”
เมื่อพูดจบก็เหมือนกับเสียใจมากจริง ๆ ขอบตานั้นแดงก่ำทันทีราวกับจะหลั่งน้ำตาออกมาได้ตลอดเวลา
กู้ฉวนลู่คนนี้ คิดไม่ถึงว่าอยากจะร้องไห้ก็ร้องได้ ฝีมือการแสดงนั้นดีมากจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่ยุคนี้ไม่มีรางวัลออสการ์ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะมอบเหรียญทองเล็ก ๆ ให้แก่เขาแล้ว สมกับฝีมือการแสดงของเขาที่อยากจะร้องไห้ก็ร้อง
“ใช่แล้ว ยังไม่มีผู้ใดเคยพูดว่าตระกูลกู้ของพวกเราไม่มีอาจารย์อบรมสั่งสอน” ใบหน้าของซุนซื่อดูไม่พอใจ สีหน้าเหมือนกับจะบอกว่า ข้าคิดเพื่อเจ้าแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองและขมขื่น
กู้เสี่ยหวานเห็นพวกเขาสองคนพยายามโน้มน้าวตัวเอง ทันใดนั้นก็ “พรืด” หัวเราะออกมา
จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะขึ้นมา กู้ฉวนลู่กับซุนซื่อยังไม่ทันตั้งตัวก็เห็นกู้เสี่ยวหวานใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวกับหิมะปิดที่ปาก หัวเราะจนคิ้วตาโก่งโค้งราวกับจันทร์เสี้ยว
กู้ฉวนลู่กับซุนซื่อสบตากันด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู้เสี่ยวหวาน
ตามความคิดของพวกเขา ไม่ใช่ว่ากู้เสี่ยวหวานกลอกตามองพวกเขาหรอกหรือ
ทำไมตอนนี้ถึงได้หัวเราะขึ้นมา ทั้งยังหัวเราะเหมือนกับว่ามีความสุขมากอีกด้วย
กู้ฉวนลู่เดาไม่ออกว่าในใจของกู้เสี่ยวหวานกำลังคิดอะไรอยู่ ก็เกิดความเสียใจว่าตัวเองไม่ควรจะพูดเช่นนั้นออกมา อย่างไรเสียที่ตัวเองมาหากู้เสี่ยวหวานก็เพราะมีเรื่องสำคัญ
ในใจของกู้ฉวนลู่รู้สึกสับสนเล็กน้อย เขากำลังจะเอ่ยปากพูดก็เห็นกู้เสี่ยวหวานไม่หัวเราะแล้ว แต่กลับมองมาที่ตัวเองด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจและพูดออกมาเบา ๆ ทว่ากลับทำให้ใจของกู้ฉวนลู่ตกลงดิ่งไปข้างล่างแล้ว
“อาจารย์สอนพิเศษ” กู้เสี่ยวหวานหัวเราะจนแทบจะน้ำตาไหล
นี่กู้ฉวนลู่ยังแยกแยะสถานการณ์ไม่ออกอีกหรือ
เขาคิดว่าตัวเองนั้นเป็นลุงแล้วก็คิดอยากจะทำอะไรก็ได้หรือ กู้เสี่ยวหวานไม่ชอบเขา ย่อมไม่รินน้ำชาให้ น้ำชานั้นใช้สำหรับต้อนรับแขก แขกที่เข้ามาโดยที่ไม่แม้แต่จะกล่าวทักทายนั้นไม่ใช่แขก หรือคิดว่าที่นี่เป็นโรงน้ำชาจริง ๆ แล้ว