ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1212 ต้องแสดงความเคารพ
บทที่ 1212 ต้องแสดงความเคารพ
บทที่ 1212 ต้องแสดงความเคารพ
กู้เสี่ยวหวานหัวเราะจนน้ำตาไหล จึงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ด และพูดต่อว่า “ชาของสวนกู้ที่ข้าดูแลนี้ ผู้ใดก็ไม่กล้าที่จะดื่ม พวกท่านคงจะลืมไปแล้ว มิสู้บอกกับพวกท่านดี ๆ ดีกว่า ตอนนี้ข้าเป็นเสี้ยนจู่ระดับห้าที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานแต่งตั้งให้ด้วยพระองค์เอง แต่ว่าเมื่ออยู่ในวังนั้น ผู้ที่มีตราประทับมีตำแหน่ง หากกล่าวไม่น่าฟังแล้ว ถึงแม้ว่าพวกท่านจะเป็นญาติของข้า แต่ก็เป็นเพียงแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงยามที่เข้าพบเสี้ยนจู่แล้วไม่แสดงความเคารพ ยังกล่าวหาว่าอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนเสี้ยนจู่นั้นไม่ดี นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่ามีประชาชนธรรมดากล้าที่จะตั้งข้อสงสัยอาจารย์ที่อบรมเสี้ยนจู่ ทว่าข้าเคยเรียนรู้กฎหมายของต้าชิงแล้ว ในกฎหมายนี้มีความผิดโทษฐานใส่ร้ายเสี้ยนจู่ด้วย”
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานมีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับไว้ตลอด ทว่าความเย็นเยียบในดวงตานั้นกลับทำให้กู้ฉวนลู่และซุนซื่อตัวสั่นเทา
กลิ่นอายสูงส่งที่แผ่ออกมาอย่างกะทันหันราวกับยืนอยู่เหนือผู้คนนั้นทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
โดยเฉพาะกู้ฉวนลู่ หลังจากที่เห็นกลิ่นอายอันสูงส่งที่กู้เสี่ยวหวานแผ่ออกมา ต่างตกใจกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมา
ใช่แล้ว พวกเขาลืมไปได้อย่างไร
ว่าตอนนี้กู้เสี่ยวหวานเป็นเสี้ยนจู่ระดับห้า
ความตกตะลึงของพวกเขายังไม่ทันหายไปก็ได้ยินฉือโถวที่ยืนอยู่ด้านหลังของกู้เสี่ยวหวานพูดต่ออย่างจริงจังว่า “สิ่งแรกที่ใต้เท้าผู้เป็นเจ้าเมืองรุ่ยเสียนทำหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งก็คือการมาสวนกู้เพื่อแสดงความเคารพต่อเสี้ยนจู่ นั่นคือการคุกเข่าสามคำนับเก้า จะปฏิบัติอย่างลวก ๆ แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้เด็ดขาด ฐานะของท่านทั้งสองนั้นสูงส่งกว่าใต้เท้าผู้เป็นเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ”
สิ่งที่ฉือโถวกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก หลังจากวันที่สอง ใต้เท้าจ้าวชิงผู้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ของเมืองรุ่ยเสียนก็ตั้งใจเดินทางมาที่สวนกู้โดยเฉพาะ เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานยังเป็นเด็กน้อย ทุกคนก็พากันตกตะลึง
ตามธรรมเนียมแล้ว เขาก็ยังคุกเข่าคำนับแสดงความเคารพให้แก่กู้เสี่ยวหวานจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานเป็นเสี้ยนจู่ระดับห้า อยู่ในราชวงศ์แต่มีตราประทับ เขาเป็นเพียงแค่เจ้าเมืองระดับแปด จึงต้องแสดงความเคารพตามธรรมเนียม
แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะเป็นขุนนางที่เป็นสตรี แต่ว่าธรรมเนียมนี้ก็มีเหตุผล
พอกู้ฉวนลู่ได้ฟังว่าใต้เท้าจ้าวได้คุกเข่าสามคำนับเก้าให้แก่กู้เสี่ยวหวานจริง ๆ ในใจเกิดความเครียด สีหน้าพลันมืดครึ้มทันที
หรือว่าเขาเองก็ต้องคุกเข่าคำนับให้กู้เสี่ยวหวานด้วยหรือ
ในใจกู้ฉวนลู่กำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี ด้านหลังก็ได้ยินเสียงตะโกนอันแหบแห้งของกู้ซินเถาขึ้นมา “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าอย่าใช้อำนาจมารังแกคนอื่น พวกเราเทียบกับใต้เท้าได้หรือ พวกเราเป็นญาติทางสายเลือดของเจ้า”
เมื่อกู้ซินเถาได้ยินว่าต้องทำความเคารพให้กู้เสี่ยวหวาน ความเกลียดชังที่อยู่ในใจก็แสดงบนสีหน้า ทั้งโกรธ ทั้งแค้น ทั้งเกลียด ทั้งอิจฉา นางจ้องมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความอิจฉาและเกลียดชัง เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันงดงามจนหาผู้ใดเปรียบไม่ได้ของกู้เสี่ยวหวาน ทั่วทั้งร่างกำจายกลิ่นความร่ำรวยดูมีเกียรติอย่างมาก ในใจก็แทบอยากจะฆ่ากู้เสี่ยวหวาน หลังจากนั้นก็เข้าแทนที่นาง
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม “เช่นนั้นข้าไม่มีทางเลือก เสี้ยนจู่ระดับห้าเป็นฝ่าบาทที่แต่งตั้งให้แก่ข้าเอง การที่พวกท่านต้องคำนับข้าก็เป็นกฎหมายของต้าชิงที่กำหนดไว้ กฎเกณฑ์ของราชวงศ์นั้นมีมากมาย หากพวกท่านไม่อยากปฏิบัติตามก็รีบจากไปให้ไวเสียดีกว่า ได้ยินมาว่าปลายปีนี้ข้าต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่เมืองหลวง ถึงตอนนั้นหากฝ่าบาททรงถามเกี่ยวกับข้าขึ้นมา แล้วข้าไม่ระวังเผลอพูดออกไปว่าท่านลุงท่านป้าและลูกพี่ลูกน้องของตัวเองไม่คุกเข่าคำนับตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะกล่าวว่าข้าให้ความสำคัญกับครอบครัวโดยไม่สนใจพิธีการ หรือจะกล่าวว่า พวกท่านอาศัยว่าเป็นญาติของข้าจึงเมินเฉยกฎเกณฑ์ของฝ่าบาท”
พอได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานจะต้องไปงานเลี้ยงที่เมืองหลวง ดวงตาของกู้ซินเถาก็เป็นประกายขึ้นทันที
มองดูกู้ฉวนลู่และซุนซื่อ ไหนเลยจะยังมีสีหน้าที่ไม่พอใจอยู่อีก พวกเขารีบลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีและคุกเข่าลงไปอยู่ข้างเท้าของกู้เสี่ยวหวานเสียงดังตุ๊บ จากนั้นก็โขกหัวสามครั้ง แล้วจึงลุกขึ้นยืน
กู้ซินเถามีสีหน้าไม่เต็มใจ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดฝุ่นบนมือและชายกระโปรงอย่างแรง พูดอย่างไม่พอใจว่า “นี่ก็ถือว่าใช้ได้แล้วกระมัง?”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ถึงแม้จะพูดได้ว่าไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง แต่ว่าก็ใช้ได้แล้ว”
ยากนักที่จะเห็นท่าทางเจ้าเล่ห์ของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือรู้สึกมีความสุขในใจ ท่าทางปากแหลมฟันคมของแมวน้อยตัวนี้นั้นหาได้ยากที่จะได้เห็นจริง ๆ
ก็มีเพียงแต่บ้านใหญ่ของตระกูลกู้ที่ผู้อาวุโสครอบครัวนี้มาอาศัยพึ่งพากู้เสี่ยวหวาน หน้าด้านไร้ยางอายจนไร้ที่เปรียบ
หลังจากที่กู้ฉวนลู่แสดงความเคารพให้กู้เสี่ยวหวานแล้ว จึงพูดอีกว่า “เสี่ยวหวาน ตอนนี้เจ้าได้ดิบได้ดีแล้ว ปีนั้นข้าช่างใจดำเสียจริงที่ไม่ได้ดูแลพวกเจ้า ไม่ได้ทำหน้าที่ของข้าอย่างเต็มที่ ไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเจ้าให้ดี ๆ ในใจข้ารู้สึกไม่สบายใจมาก”
ใช่แล้ว ได้ดิบได้ดีแล้ว กู้ฉวนลู่รู้สึกเสียใจอย่างมาก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เหลือบมองเห็นฉือโถวที่ยืนอยู่ด้านหลังของกู้เสี่ยวหวาน สามคนนี้อาศัยกินอาศัยดื่มอาศัยอยู่ในสวนกู้ เพียงเพราะว่าในปีนั้นตระกูลจางได้ให้ข้าวสองสามถุงเพื่อประทังชีวิตไม่ให้พวกกู้เสี่ยวหวานอดตาย
ทำเรื่องแค่เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อยากทำให้กู้เสี่ยวหวานเลี้ยงดูพวกเขาและยังดีต่อพวกเขาอีก
เมื่อมองดูเสื้อผ้าบนร่างของฉือโถว เนื้อผ้านั้นจะต้องดีกว่าเนื้อผ้าบนร่างของจือเหวินมากแน่
กู้ฉวนลู่ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ตอนนั้นขอแค่ประหยัดข้าวกินสักคำและเลี้ยงดูเด็กพวกนี้ ตอนนี้เขาพูดอะไร กู้เสี่ยวหวานจะต้องรับปากตกลงทุกอย่าง สวนกู้ทั้งหมดนี้ก็จะต้องเป็นของตัวเองด้วยครึ่งหนึ่ง
โธ่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ กู้ฉวนลู่อยากจะย้อนกลับไปทำดีต่อครอบครัวกู้เสี่ยวหวาน
เพียงแต่บนโลกนี้จะมีผู้ใดที่จะสามารถมองเห็นเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ในปีนั้น กู้ฉวนลู่ไม่ยอมช่วยเหลือพวกกู้เสี่ยวหวาน ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะกลายเป็นลูกติด ไม่ใช่ว่าเป็นภาระชีวิตครอบครัวพวกเขาหรอกหรือ?
แม้ว่าจะกลับมาโลกนี้เป็นพันเป็นหมื่นครั้ง นิสัยที่เห็นแก่ตัวของกู้ฉวนลู่นั้นก็ยังคงไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือกู้เสี่ยวหวานยามที่ยากลำบากอยู่ดี
กู้ฉวนลู่รู้สึกเสียใจ แต่ไม่ใช่เสียใจเพราะว่าไม่ได้ดูแลพวกกู้เสี่ยวหวานให้ดี
แต่เป็นเพราะว่าตอนนี้กู้เสี่ยวหวานประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและก้าวหน้าในตำแหน่งขุนนางจนได้ดิบได้ดี เขากลับไม่ได้เสพสุขจึงรู้สึกเสียใจ
กู้เสี่ยวหวานรู้จักกู้ฉวนลู่ดี สันดานสุนัขชอบกลับไปกินอาจม
“เสี่ยวหวาน ผ่านไปแวบเดียวก็สิบหกปีแล้ว เจ้ารู้ไหมว่าตอนที่เจ้ายังเด็ก เมื่อคลอดออกมา เจ้าก็ตัวโตเท่าแมวตัวหนึ่ง พ่อของเจ้าอุ้มเจ้าไว้ในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ ตอนนี้ป้าก็ยังจำได้” ซุนซื่อกล่าวระลึกถึงเรื่องเก่า “ตอนนี้เจ้าก็โตขนาดนี้แล้ว”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้ายังจำได้ ตอนที่แม่ของเจ้าคลอดเจ้าออกมา ข้ายังเอาอาหารดี ๆ จากร้านอาหารกลับไปฉลองด้วย” กู้ฉวนลู่เองก็กล่าวด้วย