ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1237 ไม่เคยคิดทรยศ
บทที่ 1237 ไม่เคยคิดทรยศ
บทที่ 1237 ไม่เคยคิดทรยศ
ทันทีที่เจ้าหน้าที่พูดจบ เขาก็ยิ้มเยาะให้พวกคนเขลาที่ถูกหลอกไปขาย แล้วยังช่วยคนขายนับเงิน
เสี่ยวเหลียงจื่อขมวดคิ้วแน่น สายตาจับจ้องเจ้าหน้าที่ที่กำลังพูดพร่ำไม่หยุด โดยที่ไม่คิดจะเชื่อคำพูดเหล่านั้นแม้แต่น้อย “ข้าไม่มีวันเชื่อเจ้า เถ้าแก่ไม่ใช่คนเช่นนั้น พวกเจ้าอย่าไปเชื่อเขา เถ้าแก่ต้องมาช่วยเราแน่ ๆ”
จู่ ๆ เสี่ยวเหลียงจื่อก็ร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังหวาดกลัวบางสิ่งในห้องขังที่ว่างเปล่านี้ เสียงร้องน่ากลัวดังอยู่นานสองนาน
แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ผู้ซึ่งเคยเห็นนักโทษร้องโวยวายอยู่เป็นนิจ ก็ยังตกใจที่เห็นเสี่ยวเหลียงจื่อแผดเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งออกมา
เมื่อเห็นว่าจนป่านนี้แล้วเขาก็ยังไม่หยุดร้อง เจ้าหน้าที่รู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังท้าทายเขาอย่างมาก สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นทันใด “ร้องหาบิดาเจ้าหรืออย่างไร!”
เจ้าหน้าที่เอื้อมมือไปหยิบเหล็กร้อนสีแดงฉานออกมาจากเตา ผู้ใดเลยจะล่วงรู้ว่าเขาจะกดมันลงบนหน้าอกของเสี่ยวเหลียงจื่อทันใด
ฉ่า!
เนื้อหนังเปลือยเปล่าปะทะเข้ากับความร้อนบนแผ่นเหล็ก เกิดการเผาไหม้ทันใด
ทั่วทั้งห้องขังตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้
เจ้าหน้าที่กดเหล็กลงบนหน้าอกของเสี่ยวเหลียงจื่ออย่างไร้ความปรานี เสี่ยวเหลียงจื่อร้องลั่นปานจะขาดใจ จากนั้นก็สลบไปเพราะความเจ็บปวดเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มข้าง ๆ
ลูกจ้างคนอื่น ๆ มองเขาด้วยความสยดสยอง บางคนถึงกับทนดูไม่ได้จนต้องหลับตาไว้แน่น
โหดร้ายเกินไปแล้ว!
ผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในที่สุดเสี่ยวเหลียงจื่อก็ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ยามนี้สหายที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็สลบไสลไม่ได้สติกันหมด พวกเขาถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็ก และยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ข้างหน้าเสี่ยวเหลียงจื่อ
เสี่ยวเหลียงจื่อสีหน้าซีดเซียวเพราะความเจ็บปวด เหงื่อเย็น ๆ ผุดออกมาเต็มหน้าผาก ริมฝีปากขาวซีด
เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวด เห็นสหายทั้งหลายยืนอยู่ข้างหน้าตน ทุกคนมองมาที่เขาอย่างปวดใจ
เสี่ยวเหลียงจื่อรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง แม้เขาจะตำหนิคนเหล่านี้ว่าเป็นผู้ที่ไร้ซึ่งมโนธรรมในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย
แต่ที่ผ่านมา คนเหล่านี้ล้วนเป็นสหายที่ดี เขาจึงไม่อาจทนดูสหายถูกลงโทษต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ได้
และรู้ดีว่าที่พวกเขาทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อความอยู่รอด
เมื่อเห็นว่าพวกเขายังสบายดี เสี่ยวเหลียงจื่อก็ยกยิ้มเศร้า ๆ ให้พวกเขาหนึ่งที “พวกเจ้าไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว”
“เสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้าสารภาพไปเถอะ จะได้ไม่ต้องถูกทรมานเช่นนี้” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น
“ใช่ ๆ เสี่ยวเหลียงจื่อ พวกเราเป็นแค่เด็กกำพร้า ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ที่พึ่งพิง หากคนที่ถูกจับเป็นเถ้าแก่ นางจะต้องเอาตัวรอดได้แน่ แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมสารภาพ เจ้าก็คงต้องตายอยู่ที่นี่ ฮือ ๆ”
คนพวกนั้นเริ่มร้องไห้อีกแล้ว
เด็กหนุ่มที่ถูกลงโทษไปคราวนั้นกำลังกอดกับสหายเนื้อตัวสั่นเทาเอ่ยถามเช่นกัน “เสี่ยวเหลียงจื่อ เถ้าแก่จะใช้ชีวิตเราเพื่อชดใช้ชีวิตคนผู้นั้นจริง ๆ นะ เหตุใดเจ้ายังปกป้องนางงูพิษนั่นอยู่อีกเล่า?”
“ที่ผ่านมานางมีจิตใจเมตตาก็จริงอยู่ ทว่าเพื่อเอาตัวรอด นางกลับผลักไสเราเข้าไปในกองไฟ เราอุตส่าห์หวังดีเสนอตัวมาที่ห้องขังนี่เพื่อนาง แล้วนางล่ะ นางทำสิ่งใดเพื่อเราบ้าง เสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้าคิดให้ดีสิ เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเถ้าแก่อย่างนาง” เด็กหนุ่มอีกคนพูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น
เสี่ยวเหลียงจื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของคนผู้นั้นก็พลันหัวเราะเยาะเขาอย่างเวทนา
“เสี่ยวเหลียงจื่อ คนโหดร้ายเช่นนั้นไม่คุ้มค่าที่เราจะเสี่ยงชีวิตปกป้องนาง”
“ใช่ เสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้าสารภาพเถอะ”
คราวนี้สหายทั้งหลายพยายามโน้มน้าวให้เขายอมสารภาพว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนสั่งให้ฆ่าคน แต่ละคนต่างมองมาที่เขาอย่างทุกข์ใจ
เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เริ่มเหนื่อยใจ จึงเดินไปนั่งดื่มชาอยู่อีกด้านหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ตาสว่างแล้วหรือยัง? เพียงเจ้ายอมสารภาพว่ากู้เสี่ยวหวานฆ่าคน ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป อย่างมากก็จะขังเจ้าไว้ในคุกนี้ต่อไปอีกไม่เกินสองสามวัน จากนั้นก็จะปล่อยเจ้าออกไปทันที”
คำพูดของเจ้าหน้าที่เปรียบเสมือนเหยื่อล่อ บรรดาผู้ที่ไม่เคยถูกทรมานต่างก็ดีใจจนเนื้อเต้น คนทั้งหลายพยายามเกลี้ยกล่อมเสี่ยวเหลียงจื่อให้เป็นพยานว่ากู้เสี่ยวหวานฆ่าคน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยของสหายพวกนี้ เสี่ยวเหลียงจื่อถึงกับหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
คนพวกนี้เมื่ออยู่ต่อหน้ากู้เสี่ยวหวานล้วนแต่มีท่าทีเคารพนอบน้อม สนิทสนมจริงใจ
กู้เสี่ยวหวานเป็นเถ้าแก่ที่ดี นอกจากลูกจ้างที่อยู่มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแล้ว ลูกจ้างส่วนใหญ่ในร้านจิ่นฝูเป็นเด็กวัยสิบขวบกว่าที่กู้เสี่ยวหวานรับมาจากทางตะวันตกของเมืองหลิวเจียในภายหลัง นางไม่เพียงให้ที่หลบภัยแก่พวกเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขากล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เสี่ยวเหลียงจื่อยังเคยได้ยินพวกเขาพรรณนาถึงสิ่งดี ๆ ที่กู้เสี่ยวหวานมอบให้แก่พวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ยังบอกอีกว่ามีเจ้านายเช่นนี้ ต่อให้ทำงานหนักเป็นวัวเป็นม้าก็จะทำไปจนชั่วชีวิต
แต่นี่ยังไม่ทันได้ครึ่งชีวิตด้วยซ้ำ
หรือว่าพูดจบยังไม่ถึงปี คนพวกนี้ก็ลืมสิ้นไปเสียแล้ว
เสี่ยวเหลียงจื่อใช้ดวงตาที่กำลังฉายแววสมเพชเวทนากวาดมองหน้าคนพวกนี้ไปมา
“อู่จื่อ ข้ารู้ว่าบิดามารดาเจ้าจากไปเร็ว ชีวิตนี้ของเจ้าเติบใหญ่มาได้เพราะมีย่าของเจ้าเลี้ยงดู ต่อมาเถ้าแก่รับเจ้ามาดูแล ไม่เพียงแต่มอบเงินห้าตำลึงให้เจ้าล่วงหน้าเพื่อไปจ่ายค่ารักษาอาการป่วยของย่าเจ้า หากไม่นับเรื่องเงินทองของนอกกาย ก็ยังมีเรื่องเนื้อตุ๋นนุ่มเปื่อยจากร้านอาหารที่นางมักจะให้เจ้าเอากลับไปให้ย่าเจ้าได้กินอิ่มนอนหลับ ข้าไม่เห็นว่าเถ้าแก่จะทำสิ่งใดให้เจ้าขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย”
“ตงกวา บิดามารดาเจ้าตาบอด ทั้งสองมองสิ่งใดไม่เห็น เจ้าได้แต่พาน้องสาวออกไปขอทาน หากเถ้าแก่ไม่รับเจ้ามาดูแล ทั้งยังให้ค่าแรงแก่เจ้า เจ้าจะเอาเงินจากที่ใดไปให้ครอบครัวเจ้าเช่าบ้านอยู่ ทุกวันก่อนเจ้าจะกลับบ้าน เถ้าแก่ยังบอกให้เจ้าเอาอาหารดี ๆ ที่เหลือในร้านจิ่นฝูกลับไปด้วย อาหารที่คนในบ้านเจ้าได้กินอยู่ทุกวันล้วนมาจากร้านจิ่นฝู แล้วเจ้ามีสิ่งใดให้หมางใจต่อเถ้าแก่”
“เจ้าก็อีกคน”
เสี่ยวเหลียงจื่อฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลบนหน้าอก เพื่อเล่าสิ่งที่ตนเคยได้รับรู้ออกมาทีละคำ ๆ เพื่อร้อยเรียงออกมาเป็นประโยคแล้วประโยคเล่า ดวงตาหนึ่งคู่กวาดมองผู้คนตรงหน้าด้วยความเศร้าใจ สุดท้ายพวกเขาก็ทรยศต่อผู้เป็นนาย
ทว่าผ่านไปเพียงไม่นาน ยังไม่ทันได้กล่าวถึงพวกเขาให้ครบทุกคนด้วยซ้ำ
เสี่ยวเหลี่ยงจื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมหลับตาลงช้า ๆ เขารู้สึกได้ถึงความตายที่มารออยู่ตรงหน้า จึงได้เปล่งเสียงเด็ดเดี่ยวออกมาว่า “ข้าเสี่ยวเหลียงจื่อ แม้ไม่ใช่วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในโลกหล้า แต่ตัวข้าคือผู้ที่ระลึกอยู่เสมอว่าบุญคุณที่เถ้าแก่แห่งร้านจิ่นฝูมีต่อข้านั้นยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา ข้าจึงไม่มีเหตุอันใดต้องทำร้ายนาง ส่วนพวกเจ้า… อยากมีชีวิตอยู่ก็จงอยู่ต่อไปให้ดี ตัวข้าเสี่ยวเหลียงจื่อนี้ แม้ต้องตายก็จะไม่ทรยศต่อผู้เป็นนายเด็ดขาด”