ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1238 เสี่ยวหวานฆ่าคน
บทที่ 1238 เสี่ยวหวานฆ่าคน
บทที่ 1238 เสี่ยวหวานฆ่าคน
เสี่ยวเหลียงจื่อผู้ชอบธรรมและน่าเกรงขาม ท่าทีดูพร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อตอบแทนความเมตตานี้ทำให้คนอื่น ๆ ก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด
“ในเมื่อเส้นทางที่เลือกเดินมันไม่เหมือนกัน ก็ไม่สามารถที่จะร่วมงานกันได้ ในเมื่อพวกเจ้าเลือกเส้นทางนี้แล้ว เราก็ไม่ใช่พี่น้องกันอีกต่อไป ถ้าพวกเจ้าต้องการอยู่รอด ก็มีชีวิตต่อไปเสีย แต่จากนี้ไปอย่าพูดว่าเป็นพี่น้องกับข้าเสี่ยวเหลียงจื่อ และอย่าบอกว่าเป็นลูกจ้างของร้านจิ่นฝูอีก เพราะพวกเจ้าไม่คู่ควรที่จะรับใช้เสี้ยนจู่” คำพูดของเสี่ยวเหลียงจื่อเหมือนกับมีดทิ่มแทงหัวใจของพวกเขา บางคนรู้สึกอายมากจนแทบจะมุดศีรษะลงดิน ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น ทำหน้ามุ่ยและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อพวกเขานึกถึงท่าทางของเสี่ยวเหลียงจื่อในขณะนี้ เมื่อคำพูดนั้นมาถึงริมฝีปาก เขาก็ต้องกลืนมันกลับลงไปอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้
“เสี่ยวเหลียงจื่อ ถ้าเจ้าต้องการปกป้องกู้เสี่ยวหวานจริง ๆ เจ้าก็คงไม่กลัวความตาย” เจ้าหน้าที่ได้พักผ่อนเพียงพอ เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเหลียงจื่อเป็นเหมือนก้อนหินที่อยู่ตรงขอบบ่อส้วม ทั้งแข็งกระด้างและมีกลิ่นเหม็น เขาจึงถือแส้หนาซึ่งยังคงเปียกด้วยน้ำ เขาตบมันกับมือแล้วเดินไปที่ด้านข้างของเสี่ยวเหลียงจื่อ
เขายกคางของเสี่ยวเหลียงจื่อขึ้นด้วยแส้ราวกับกำลังยั่วยุและพูดอย่างจองหอง “ข้าเป็นเจ้าหน้าที่มาหลายปีแล้ว และข้าได้สอบสวนนักโทษมามากมาย เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนดื้อรั้นเช่นนี้ ข้านับถือเจ้าในฐานะวีรบุรุษ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจแค่ไหน มาดูกันว่าเจ้าจะทนแส้ของข้าได้กี่ครั้ง”
เพี้ยะ!
แส้ยาวที่แช่ในน้ำเกลือพุ่งเข้าหาใบหน้าของเขาพร้อมกับลมแส้ที่หวีดหวิว เสี่ยวเหลียงจื่อรู้สึกเพียงว่าแส้นั้นมาทางเขา
ในชั่วพริบตา มันก็อยู่ต่อหน้าเขา
เพี้ยะ!
เสี่ยวเหลียงจื่อถูกแส้ฟาด เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาก็ถูกแส้ฟาดจนขาดวิ่น เผยให้เห็นรอยแส้สีแดงและคราบเลือด
เจ้าหน้าที่ฟาดแส้เส้นแรก เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเหลียงจื่อกัดฟันแน่นไม่ส่งเสียง เขาจึงรู้สึกตื่นเต้น “เอาล่ะ เจ้าเป็นคนแข็งแกร่ง ข้าจะดูว่าเจ้าจะทนแส้จากข้าได้กี่ครั้ง”
เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ! แส้ที่แช่ในน้ำเกลือตีเข้าที่ร่างกายของเขา เนื้อหนังบนตัวของเขาแตกซิบ ทำให้น้ำเกลือบนแส้กัดเซาะไปตามบาดแผลทีละนิด
ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่เฆี่ยนเขาไปกี่ที ในที่สุดเสี่ยวเหลียงจื่อก็ทนไม่ได้และกรีดร้องออกมาเสียงดัง
ร่างกายและหน้าอกของเสี่ยวเหลียงจื่อเต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดงสด ผิวหนังและเนื้อของเขาแยกจากกันทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็น
“เสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้ายอมรับเสียเถอะ หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ เจ้าอาจจะต้องตาย” สหายคนหนึ่งทนไม่ได้อีกต่อไป จึงเอ่ยปากแล้วอุทานออกมา
เสี่ยวเหลียงจื่อเย้ยหยัน มองไปยังเจ้าหน้าที่ที่มือเจ็บจากการฟาดแส้เป็นเวลานาน และตะโกนสุดเสียงอย่างเย้ยหยัน “ให้ข้าตายเสียดีกว่าจะต้องทรยศเถ้าแก่”
เสี่ยวเหลียงจื่อกระอักเลือดออกมา ริมฝีปากเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง เจ้าหน้าที่ไม่เคยเห็นคนดื้อรั้นเช่นนี้มาก่อน เห็นท่าทีของเขาแล้วก็ใจสั่นด้วยความกลัวทันที
เขาไม่เคยเห็นคนดื้อรั้นเช่นนี้มาก่อน
กระดูกแข็งจริง ๆ
เขาอยากจะเฆี่ยนคนผู้นี้ให้ตายไปเสีย หากแต่ใต้เท้ากลับสั่งห้ามเอาไว้
เมื่อเห็นท่าทางหมดสภาพของอีกฝ่าย เจ้าหน้าที่ที่ได้ระบายความโกรธแล้วจึงวางแส้ลงในที่สุด “ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน และเมื่อกู้เสี่ยวหวานสารภาพผิด เจ้าจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของกู้เสี่ยวหวาน นางเป็นถึงเสี้ยนจู่ ดังนั้นโทษของนางอาจจะไม่ถึงตาย แต่เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา ดังนั้นโทษอาจจะมากกว่าของนาง”
แต่กระนั้นเสี่ยวเหลียงจื่อยังจ้องมองเจ้าหน้าที่อย่างหยิ่งผยอง ขบฟันแน่นแล้วพูดว่า “แม้ว่าข้าจะต้องตาย แต่ข้าก็จะไม่ทำอะไรที่ขัดต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของข้า”
ในที่สุด เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายของร่างกายเขาก็หมดลง หลังจากเอ่ยประโยคสุดท้ายจบ ก็ทรุดตัวลงไปทันที
เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่เช้าแล้ว เจ้าหน้าที่จึงมองไปยังคนที่นอนตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง และสั่งคนในห้องอย่างภาคภูมิ ชี้ไปพวกเขาและพูดว่า “ขังพวกเขาทั้งหมด”
หัวหน้าห้องขังพยักหน้า ชี้ไปที่เสี่ยวเหลียงจื่อซึ่งบนตัวเต็มไปด้วยเลือดและหมดสติไปแล้ว และถามว่า “แล้วเขาล่ะ”
กระดูกของผู้ชายคนนี้แข็งจริง ๆ
ผ่านมาหลายปีแล้ว ในห้องขังนี้ไม่มีคนใจแข็งอย่างนี้เลย
เจ้าหน้าที่ยิ้มอย่างมีชัย “ชายผู้นี้ได้รับการสงวนไว้เป็นพิเศษจากใต้เท้า ให้เขาอยู่ที่นี่ก่อนและอย่าทรมานเขา”
หัวหน้าห้องขังพยักหน้าแล้วพาคนอื่นเข้าไปด้านใน
เวลาในคืนนี้ดูเหมือนจะยาวนานมาก กู้เสี่ยวหวานกระสับกระส่าย นั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ตลอดทั้งคืน
ในเช้าตรู่ของวันต่อมา กู้เสี่ยวหวานสามารถหลับตาลงได้เพียงสักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบ “เถ้าแก่! เถ้าแก่”
ตอนนี้เหลือเพียงกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือ กู้หนิงผิง หลี่พ่างจื่อ และเกาจื่ออยู่ในร้านจิ่นฝู
เนื่องจากในเวลานั้นพบผงชีซิงในจอกเหล้าเท่านั้นและไม่มีผงชีซิงในอาหารอื่น ๆ ในเวลานั้นเจ้าหน้าที่จากทางการจึงไม่ได้จับกุมพ่อครัวทั้งสองไป
หลี่พ่างจื่อและเกาจื่อเป็นคนของหลี่ฝาน แม้ว่าหลี่ฝานจะมอบร้านจิ่นฝูให้กับกู้เสี่ยวหวาน แต่พวกเขายังคงทำงานให้กับกู้เสี่ยวหวานในร้านจิ่นฝูแห่งนี้
เมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นในร้านจิ่นฝู กู้เสี่ยวหวานขอให้พวกเขาออกไปจากร้านจิ่นฝู เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องมาลำบากกับเรื่องนี้ หากแต่พวกเขาก็ยืนกรานว่าพวกเขาต้องการผ่านความยากลำบากนี้ไปกับกู้เสี่ยวหวาน
ดังนั้นสองคนนี้จึงอยู่ที่ร้านจิ่นฝูตั้งแต่เมื่อคืน
ขณะที่กู้เสี่ยวหวานพักสายตา เมื่อได้ยินเสียงร้องของเกาจื่อ จึงรีบแต่งตัวให้เรียบร้อย และเมื่อออกไปข้างนอก พอมองลงไปชั้นล่างก็เห็นฉินเย่จือและกู้หนิงผิงยืนอยู่ที่ประตู หลี่พ่างจื่อและเกาจื่อยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปหมด
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ จึงรีบวิ่งปรี่ลงไปที่ชั้นล่าง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ฉินเย่จือก็หันศีรษะไปและเห็นสีหน้าประหม่าของกู้เสี่ยวหวาน เบ้าตาที่ดำคล้ำของนาง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืน
ดวงตาเรียวยาวของฉินเย่จื่อฉายแววเป็นกังวล ชายหนุ่มรั้งกู้เสี่ยวหวาเอาไว้ในอ้อมกอดและพูดอย่างเป็นทุกข์ “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดดวงตาถึงคล้ำเช่นนี้ เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนหรือ?”
เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็ส่ายศีรษะ “พี่เย่จือ ข้าสบายดี เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
เมื่อมองไปข้างหลังฉินเย่จือ ก็เห็นชายในเครื่องแบบถือไม้ยืนอยู่ที่ทางเข้าของร้านจิ่นฝูราวกับว่าพวกเขาได้ล้อมรอบร้านจิ่นฝูไว้แล้ว
ในเวลานี้มีคนปราฏตัวขึ้นด้านหลังเจ้าหน้าที่
เป็นลวี่เทาที่ออกมาด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคือง “กู้เสี่ยวหวาน เจ้ามีสถานะเป็นเสี้ยนจู่ระดับห้าที่ฮ่องเต้แต่งตั้ง ตามเหตุผล เจ้าควรอุทิศตัวเองเพื่อต้าชิง แต่เจ้ากลับอาศัยสถานะของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงชีวิตคนอื่น ครั้งนี้ข้าจะสะสางให้ฮ่องเต้ เพื่อให้ฮ่องเต้เห็นว่าเสี้ยนจู่ที่เขาแต่งตั้งเป็นสตรีใจดำ”
ยิ่งลวี่เทาพูดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งโกรธและไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากพูดจบก็โบกมือและตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้า เอาปีศาจสาวคนนี้ลงมาให้ข้า!”
กลุ่มเจ้าหน้าที่ก้าวขึ้นมาข้างหน้า ฉินเย่จือเห็นดังนั้นจึงปกป้องกู้เสี่ยวหวานไว้ด้านหลังเขาพลางมองไปที่ลวี่เทาอย่างขุ่นเคือง “ใต้เท้าลวี่ ท่านกล้าที่จะสงสัยในคำสั่งของฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ ท่านจะได้รับโทษ”
“แล้วมันเป็นความผิดของข้าหรือ” เห็นได้ชัดว่าลวี่เทาไม่ได้ให้ความสำคัญกับฉินเย่จือนัก เขาไม่ชอบชายคนนี้ เขาก็เป็นเพียงชายยากจน แต่กลิ่นอายของร่างกายนี้ไม่มีใครเทียบได้
นอกจากนี้ยังมีกู้เสี่ยวหวาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแค่สาวชาวนา แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นเสี้ยนจู่ นางเองก็เป็นคนจนเช่นกัน แต่กลับมีร้านจิ่นฝูอยู่ในมือและยังเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลิวเจียอีก เงินที่เข้าออกในร้านจิ่นฝูแต่ละวัน กลัวว่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ระดับแปดอย่างเขาคิดไม่ถึง
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ความไม่พอใจของลวี่เทาที่มีต่อกู้เสี่ยวหวานก็พุ่งเข้ามาในความคิด โดยหวังว่าคนทั้งสองจะหายไปต่อหน้าต่อตาเขาทันที
ถ้ากู้เสี่ยวหวานเสียชีวิตก็อาจจะไม่มีเจ้าของร้านจิ่นฝูนี้ก็เป็นได้ คิ้วและดวงตาของลวี่เทาขมวดแน่น และมีประกายแสงในดวงตาของเขา
ฉินเย่จือเห็นความปรารถนาในดวงตาของลวี่เทา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วลวี่เทาคิดอะไรอยู่ในใจ
“กู้เสี่ยวหวาน เมื่อวานลูกจ้างในร้านอาหารของเจ้าสารภาพหมดแล้ว พวกเขาได้รับคำสั่งจากเจ้าให้ใส่ผงชีซิงลงในจอกเหล้าของผู้ตาย” ลวี่เทาพูดพร้อมกับชี้ไปที่กู้เสี่ยวหวาน ราวกับว่าเขาได้หลักฐานการลงมือของนางแล้ว
ฉินเย่จือฟังและยิ้มออกมา “โอ้! ลูกจ้างเหล่านั้นยอมรับว่าหวานเอ๋อร์ของข้าเป็นฆาตกรอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าลวี่ ข้าอยากถามว่าถ้าท่านต้องการฆ่าใครสักคน ท่านจะแจ้งให้คนรอบตัวท่านทราบหรือไม่?”
ลวี่เทารู้สึกหายใจไม่ออกกับคำพูดของฉินเย่จือ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงและตอบสนองอย่างรุนแรงในทันที “ไร้สาระ ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีเกียรติของราชสำนัก ข้าจะทำสิ่งที่ด้อยกว่าหมูและสุนัขได้อย่างไร”
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ใต้เท้าลวี่เป็นเพียงขุนนางระดับแปดเท่านั้น แต่หวานเอ๋อร์ของข้าเป็นถือได้ว่าเป็นขุนนางระดับห้า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าหวานเอ๋อร์ของข้าจะทำสิ่งที่ด้อยกว่าหมูและสุนัขโดยไม่คำนึงถึงสถานะของนาง?” ฉินเย่จือโต้กลับ แต่ลวี่เทาไม่มีอะไรจะพูดหักล้าง