ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1242 ตระกูลกัวจากทางตอนใต้ของเมืองหลวง
บทที่ 1242 ตระกูลกัวจากทางตอนใต้ของเมืองหลวง
บทที่ 1242 ตระกูลกัวจากทางตอนใต้ของเมืองหลวง
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าพวกเขากำลังมาก็รู้สึกตื่นตกใจ จึงรีบเข้าไปถามอย่างรวดเร็ว “ท่านลุง ท่านป้า ท่านอา พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
แววตาของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อมองไปที่สีหน้าของอาโม่และคนอื่น ๆ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน
นางไม่รอให้พวกเขาได้พูดอะไร กู้เสี่ยวหวานรีบสำรวจร่างกายพวกเขาทีละคนว่ามีใครได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ เมื่อกู้ฟางสี่เห็นใบหน้ากระวนกระวายของหลานสาว นางก็รีบพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหวาน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พวกข้าไม่เป็นอะไร”
ลุงจางกับป้าจางรีบพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าพวกเขาสบายดี
กู้เสี่ยวอี้โผเข้าไปในอ้อมแขนของกู้เสี่ยวหวาน และส่งเสียงเรียกพี่สาวด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาราวกับว่ามันไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เมื่อเห็นเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกโล่งใจและถามอย่างกระวนกระวายว่า “พวกท่านมาได้อย่างไรกัน”
ทุกคนต่างมีสิ่งของมากมายอยู่ในมือ ยกเว้นอาโม่และลุงจาง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาหลบภัยในร้านจิ่นฝู กู้เสี่ยวหวานอดคิดไม่ได้ว่าตนเองเป็นคนทำให้ทุกคนต้องตกที่นั่งลำบาก
เพื่อให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกสบายใจขึ้น อาโม่จึงรีบพูดว่า “คุณหนู ท่านไม่ต้องกังวลไป ทุกคนสบายดี เมื่อคืนพวกอันธพาลเหล่านั้นไปที่สวนกู้เพื่อหาเรื่องเรา แต่พวกข้าขับไล่คนพวกนั้นไปแล้ว ท่านลุง ท่านป้า และท่านอาล้วนเป็นห่วงว่าคุณหนูจะอยู่เพียงลำพัง เลยบอกให้เก็บข้าวของเพื่อมาอยู่กับคุณหนูเพื่อที่เราจะได้ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน”
กู้ฟางสี่พยักหน้าซ้ำ ๆ “ใช่แล้วเสี่ยวหวาน อาโม่เองก็มีศิลปะการต่อสู้ขั้นสูง เขาได้ขับไล่พวกคนเลวพวกนั้นออกไปแล้ว และอีกอย่างข้าก็เป็นห่วงเจ้า เลยอยากให้อาโม่มาอยู่ข้าง ๆ เพื่อดูแลเจ้า แล้วพวกเราทุกคนก็จะอยู่ด้วยกัน”
กู้เสี่ยวอี้ก็ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ท่านพี่ เสี่ยวอี้อยากอยู่กับท่านพี่”
กู้เสี่ยวหวานลูบศีรษะของน้องสาวอย่างเอ็นดู มองท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่ายแล้วคลี่ยิ้มจาง ๆ
กู้เสี่ยวหวานเองก็กังวลเหมือนกันที่ทิ้งพวกเขาไว้ที่สวนกู้ พวกเขามาที่นี่ก็ดีเช่นกัน พวกเราจะได้ดูแลกันและกันได้ “ตกลง ท่านอาจารย์หลี่ ท่านอาจารย์เกา รบกวนพาพวกเขาไปที่ห้องข้าง ๆ ที”
เพราะว่าการเคลื่อนไหวของลุงจางไม่ดี จึงต้องพักอยู่ในห้องบริเวณหลังร้าน ส่วนป้าจางนั้นพักอยู่กับฉือโถว
หลังจากที่อาโม่ไปส่งพวกเขาแล้วก็เดินไปหยุดลงข้างกู้เสี่ยวหวาน กวาดสายตามองหารอบ ๆ จากนั้นเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ฉินล่ะ เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเขาเลย”
“ท่านอาจารย์ถูกคนพาตัวไปที่ศาลาว่าการ” กู้หนิงผิงตอบอย่างเป็นทุกข์ “พวกเขาบอกว่าลูกจ้างในร้านที่ถูกพาตัวไปเมื่อวานสารภาพว่าท่านพี่เป็นคนสั่งให้วางยาพิษจนทำให้มีคนตาย ทางศาลาว่าการต้องการให้คนมาจับท่านพี่ของข้า แต่ว่าท่านอาจารย์ไม่ยอมให้คนพวกนั้นพาตัวนางไป และตัวเขาเองก็ไปกับคนเหล่านั้นแทน”
อาโม่พยักหน้าส่งสัญญาณว่ารับรู้ สีหน้าของเขาไม่ได้ดูมีความกังวลเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งของกู้เสี่ยวหวานนั้นแตกต่างออกไป หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน นางก็พูดกับอาโม่ว่า “อาโม่… เจ้าไปสืบเรื่องลวี่เทาหน่อย ดูว่าพื้นเพชีวิตของเขาเป็นอย่างไร”
อาโม่รับคำสั่งของกู้เสี่ยวหวานแล้วรีบออกไปทันที ส่วนนางจะรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน หากแต่นางก็ยังไม่กล้าวางใจ มีคนตายที่ร้านจิ่นฝูได้อย่างไร แล้วคนที่อยู่กับเขาตอนนั้นเป็นใคร
มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์บ้าง
ตอนนี้คนผู้นั้นหายตัวไปแล้ว เขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วครุ่นคิด นางต้องหาตัวฆาตกรตัวจริงให้เจอโดยเร็วที่สุด เพื่อที่ฉินเย่จือจะได้รับการปล่อยตัวมาในเร็ววัน ก่อนชายหนุ่มจะถูกจับไป ลูกจ้างทั้งหมดก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของนาง พวกเขาทั้งหมดยอมถูกจับเข้าคุกเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างมาก ทว่าในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน คำสารภาพของคนเหล่านี้ก็เปลี่ยนไป
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยเห็นห้องสอบสวนในสมัยโบราณว่ามันเป็นอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่รู้อะไรเลย ถึงแม้ว่ามันจะเคยปรากฏหลายครั้งในโทรทัศน์ แต่ว่านางก็แทบจะไม่มีเวลาได้ดูมันมาก่อน
มีเหล็กร้อนแดงฉานประทับลงบนร่างกาย การทรมานโดยการใช้ไม้บีบอัดนิ้วมือ ซึ่งมันรุนแรงจนสามารถบดกระดูกได้ การใช้ไม้หรือตะปูตอกนิ้ว แต่ละวิธีล้วนเป็นการลงโทษที่เจ็บปวด ถูกขังอยู่ในห้องมืด ๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่รู้ว่ามีอาชญากรกี่คนที่ต้องผ่านการทรมานเช่นนี้
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถคาดเดาได้ก็คือ คนเหล่านั้นพาตัวฉินเย่จือไป พาเขาเข้าไปในห้องสอบสวน ไม่รู้พวกเขาต้องการลงโทษฉินเย่จือจริง ๆ หรือเปล่า
อีกทั้งลวี่เทายังเป็นผู้ที่ลงมือเอง
คนประเภทนี้ไร้ซึ่งความน่าเคารพนับถือ มีแต่ความหยิ่งยโสและลุ่มหลงในอำนาจ ทำตัวเป็นหนามยอกอก ในมุมมองของลวี่เทา เขาคงรอไม่ไหวที่จะลงมือฆ่าโดยเร็วที่สุด
เจ้าหน้าที่มัดมือของฉินเย่จือและแบกเขาไปตามทาง เมื่อมาถึงห้องสอบสวนที่มืดและเจิ่งนองไปด้วยเลือด ลวี่เทาหวังว่าเขาจะเห็นความกลัวในตาของฉินเย่จือ
แต่แล้วลวี่เทาก็ต้องผิดหวัง
ชายผู้นี้ยืนอยู่อย่างสง่างาม มือของเขายกสูงขึ้น ร่างสูงโปร่งของเขาถูกขังไว้ในห้องใต้ดินอันมืดมิดนี้ ราวกับว่ามีลำแสงที่สาดส่องมาจากท้องฟ้าและส่องสว่างไปทั่วห้องขังทันที
ลวี่เทาขุ่นเคืองยิ่งนัก เขาถือหัวแร้งอันร้อนฉ่าที่ผ่านความร้อนไว้ในมือ และก้าวสามขุมไปหาฉินเย่จือ มองดูรอยยิ้มจาง ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลาที่ทำให้เขาอิจฉา รอยยิ้มประชดประชันนั้นทำให้เขาแทบสิ้นสติ
ลวี่เทาถือหัวแร้งไว้ในมือแล้วโบกไปมาต่อหน้าของฉินเย่จือ ราวกับว่าเขาพร้อมจะทำลายใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินเย่จือได้ทุกเมื่อ
หากแต่จากสายตาของฉินเย่จือไม่มีท่าทีตื่นตระหนก ซึ่งมันทำให้ลวี่เทารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“เจ้าหัวเราะอะไร” เมื่อเห็นสายตาเย้ยหยันของฉินเย่จือ ลวี่เทาก็รู้สึกสูญเสียการทรงตัว
“ข้าไม่ได้หัวเราะ” รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนหน้าของฉินเย่จือแล้วหัวเราะเบา ๆ ลวี่เทาไม่รู้จะทำอย่างไรกับเสียงหัวเราะนั้น
“ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าหัวเราะ ดูสิ ตอนนี้เจ้าก็ยังหัวเราะอยู่ เจ้าหัวเราะอะไร!” ลวี่เทาคำราม
“ใต้เท้าลวี่ บ้านภรรยาของท่านแซ่กัว ครอบครัวมาจากทางตอนใต้ของเมืองหลวง” ฉินเย่จือยกมือขึ้นสูง ท่าทางดังกล่าวไม่ได้ทำลายความสง่างามของเขาแม้แต่น้อย
“จะ… เจ้า เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากที่ใด” ลวี่เทามีท่าทีหวาดกลัว
ลวี่เทาไม่เคยพูดถึงภูมิหลังของตัวเองเลย คนทั้งเมืองหลิวเจียไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเขา ยกเว้นญาติห่าง ๆ ที่รู้ข้อมูลของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ว่าขอทานอย่างฉินเย่จือรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“เจ้า… เจ้าไปฟังใครพูดมา นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน” ลวี่เทาตอบโต้ด้วยความโกรธ
ใครเห็นใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายก็คิดว่าตนเองพูดผิดตรงไหนหรือ?
ฉินเย่จือพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลกัวอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวง พวกเขาไม่มีลูกชาย และมีลูกสาวสามคน เนื่องจากตระกูลกัวค่อนข้างมีความมั่งคั่ง เขาจึงต้องการลูกเขยที่เหมาะสมให้กับลูกสาว และใต้เท้าลวี่ก็คือลูกเขยคนที่สามของตระกูลกัว”