ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1251 ไม่กล้าแตะต้องเขา
บทที่ 1251 ไม่กล้าแตะต้องเขา
บทที่ 1251 ไม่กล้าแตะต้องเขา
หลังจากที่แช่แส้ไว้ในน้ำเกลือ มันก็จะถูกฟาดไปที่ร่างกาย บาดแผลที่มีทั้งลึกและตื้นนั้นยังคงมีร่องรอยประทับอยู่ น้ำเกลือนั้นซึมอยู่ตามบาดแผล ซึ่งมันจะกัดกินรอยแผลนั้นตามธรรมชาติ
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เสี่ยวเหลียงจื่อก็ตัวสั่นด้วยความกลัว
“พี่ใหญ่ฉิน ระวัง ระวังด้วย” เสี่ยวเหลียงจื่อตะโกนด้วยแรงทั้งหมดของเขา เขาได้ยินเสียงของแส้ที่ฟาดเข้ากับอากาศ ทำให้มีเสียงดังไปทั่ว เสี่ยวเหลียงจื่อปิดปากปิดตาของเขาทันทีด้วยความกลัว
หากแส้นั้นฟาดไปที่ร่างกายของฉินเย่จือ มันก็คงเจ็บปวดเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยได้รับ ความเจ็บปวดนี้แทบจะคร่าชีวิตเขาไป เสี่ยวเหลียงจือไม่กล้ามองมันโดยตรง หลังจากเขารอเวลาสักพัก เขาคิดว่าจะต้องได้ยินเสียงของแส้ที่ฟาดลงไปบนร่างกายของฉินเย่จือและตามมาด้วยเสียงร้องของฉินเย่จือ
แต่ทว่าเสี่ยวเหลียงจือก็รอมาพักใหญ่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะตอนนี้เขาได้ยินแต่เสียงของกลุ่มคนเหล่านั้น
เสี่ยวเหลียงจื่อลืมตาขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่ฉินเย่จือ แต่เมื่อเขาได้เห็นการเคลื่อนไหวของฉินเย่จือ ดวงตาก็เบิกกว้าง รอยยิ้มที่น่าประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เนื่องจากฉินเย่จือชำนาญศิลปะการต่อสู้ขั้นสูง กลุ่มคนพวกนั้นจึงขังฉินเย่จือและล่ามมือเขาไว้ด้วยโซ่เหล็ก มือของเขาถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็กหนาและถูกแขวนไว้กลางอากาศ แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเขา
เขาเห็นฉินเย่จือลอยขึ้นไปในอากาศ ถึงแม้ว่ามือของเขาจะถูกมัดไว้และใช้การไม่ได้ แต่เขาก็ยังมีเท้าอยู่
ฉินเย่จือใช้เท้าทั้งสองของเขาจับแส้ จากนั้นก็ใช้เท้าซ้ายของเขาม้วนพันแส้ไว้รอบขาของเขา จากนั้นก็ดึงเท้าของเขาอย่างแรง ฝั่งตรงข้ามที่ดึงแส้เอาไว้ก็ล้มลงกับพื้นเนื่องจากไม่มีการระวังใด ๆ จากความแข็งแกร่งของฉินเย่จือ คนพวกนั้นจึงถูกลากไปกับพื้นเป็นระยะทางหลายมี่ จนกระทั่งพวกเขากระแทกเข้ากับกำแพง
เสี่ยวเหลียงจื่อตกตะลึง
ผู้ติดตามเซี่ยงและคนรับใช้เหล่านั้นก็ตกตะลึงเช่นกัน
ผู้ที่ถูกแขวนไว้บนอากาศ อีกทั้งมือของเขาก็ยังไร้ประโยชน์ แต่เขากลับใช้เท้าของเขาพันแส้เข้ามาแล้วดึงคนทั้งคนมาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงแล้วจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร การที่เขาลอยตัวในอากาศเช่นนั้น เขาทำได้อย่างไร
“ดี พี่ใหญ่ฉิน ดีมาก” เมื่อเสี่ยวเหลียงจื่อเห็นว่าฉินเย่จือไม่ได้รับความทรมาน มีแต่พวกคนเหล่านั้นที่ได้รับบทเรียน เสี่ยวเหลียงจื่อก็ตะโกนอย่างมีความสุข แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่มากเกินไปทำให้บาดแผลปริออกโดยไม่ตั้งใจ แต่เขาก็ยิ้มให้กับความเจ็บปวดนี้
เมื่อคนรับใช้เหล่านั้นเห็นว่าเพื่อนของเขาถูกทำร้ายปางตาย พวกเขาก็ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า เมื่อผู้ติดตามเซี่ยงเห็นว่าฉินเย่จือมีศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลังมาก พวกเขาก็โกรธมาก เขาหันไปตะโกนใส่พวกพ้องของเขาทีละคน “พวกเจ้ากลัวอะไรกัน ถ้าคนเดียวไม่ไหว ก็ไปกันสองคน ไปจับมันลงมาให้ข้า”
คนรับใช้หลายคนรีบพุ่งตัวไปหาฉินเย่จือ ฉินเย่จือที่ถูกแขวนไว้แบบนั้นจะปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้เขาได้อย่างไร เขาหมุนตัวขึ้นกลางอากาศและเตะคนรับใช้เหล่านั้นลงไปกองที่พื้น
พวกเขาล้มลงไปกองกับพื้นทีละคนและร้องโอดโอยเสียงดัง
เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว เดิมทีคนรับใช้ที่เหลืออีกสองสามคนที่กำลังจะก้าวไปด้านหน้าก็เปลี่ยนใจถอยหลังลงมาด้วยความกลัว มีคนดึงพวกเขาออกไปด้วยความโกรธ “พวกเจ้าหลบอะไรกัน หลบทำไม! ถ้าพวกเจ้าไม่ออกไป พวกเจ้าก็ไสหัวกลับบ้านไปเสีย!”
คนรับใช้สองสามคนถูกบีบให้ก้าวไปด้านหน้าตามความต้องการของผู้ติดตามเซี่ยง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับฉินเย่จือ พวกเขานอนกระจัดกระจายอย่างหมดสภาพไปทั่วห้องสอบสวน
เดิมทีผู้ติดตามเซี่ยงมาที่นี่เพื่อต้องการที่จะถามฉินเย่จือ เมื่อเขาเห็นสถานการณ์กลับกลายเป็นแบบนี้ เขาก็ยิ่งทวีความโกรธ เขาตั้งใจจะมาตัดสินลับหลังลวี่เทา แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าสถานการณ์ยุ่งเหยิงขึ้น ถ้าลวี่เทากลับมา เกรงว่าเขาจะถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน
ผู้ติดตามเซี่ยงกลัวว่าลวี่เทาจะตำหนิเขา ดังนั้นเขาจึงระบายความคับแค้นใจทั้งหมดกับฉินเย่จือ เขาหยิบหัวแร้งขึ้นมาด้วยความโกรธ แล้วนำไปอังในเตาอั้งโล่ เขาชูมันขึ้นแล้วเดินไปหาฉินเย่จือ เขาต้องการที่จะนาบหัวแร้งร้อน ๆ ไปที่ร่างกายของฉินเย่จือ
เสี่ยวเหลียงจื่อตกใจกลัวจึงหลับตาลงทันที
จากนั้นเสียงร้องที่เสียดแทงหัวใจของผู้ติดตามเซี่ยงก็ดังขึ้น แล้วก็เห็นว่ามีร่องรอยของหัวแร้งประทับอยู่บนร่างกายของผู้ติดตามเซี่ยง เหล็กร้อนนั้นลวกผิวหนังจนทำให้มีกลิ่นไหม้โชยออกมา
จากนั้นผู้ติดตามเซี่ยงก็ล้มลงกับพื้น ตะโกนร้องด้วยความเจ็บปวด ฉินเย่จือไม่ได้คิดที่จะปล่อยเขาไป เขาลอยตัวไปรอบ ๆ และใช้เท้าแทนมือของตน เขาใช้แส้ที่พันไว้รอบข้อเท้าฟาดลงไปอย่างรุนแรง
ผู้ติดตามเซี่ยงนอนอยู่บนพื้นและร้องเสียงโหยหวน เขาคิดไม่ถึงว่าแส้จะเหวี่ยงมาบนร่างกายของเขา ตอนนี้เขาร้องเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งห้องสอบสวนนี้ก็ดังก้องไปด้วยเสียงร้องของเขา
พวกคนรับใช้ปลายแถวพวกนั้นที่ถูกแส้เฆี่ยนตีก็ต่างพากันหลบซ่อนเพราะกลัวว่าแส้นั้นไม่มีตาแล้วพลาดมาโดนพวกเขาอีก
เมื่อฉินเย่จือเห็นว่าการเฆี่ยนตีนั้นพอสมควรแล้วเขาจึงหยุด เขามองไปที่ผู้ติดตามเซี่ยงที่สลบไสลจากความเจ็บปวดและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คราวหน้าถ้าเจ้าพูดจาไร้สาระอีก ข้าจะโยนร่างของเจ้าให้หมามันกิน!”
น้ำเสียงของฉินเย่จือนั้นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
เขาปลายตาไปมองเพียงครู่เดียว คนรับใช้พวกนั้นก็รีบหามผู้ติดตามเซี่ยงที่สลบไสลออกไปด้วยความกลัว
แม้ว่าฉินเย่จือผู้นี้จะถูกจับอยู่ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความโหดร้ายของเขาก็ยังเหมือนปีศาจ
หลังจากที่ลวี่เทาได้ยินสิ่งที่คนรับใช้เล่า เขาก็มองไปที่ด้านหลังฉินเย่จือด้วยสายตาที่ชั่วร้าย
ฉินเย่จือเป็นผู้ที่มีทักษะการต่อสู้ขั้นสูง คงจะดีมากถ้าได้คนผู้นี้มาเป็นผู้ติดตามให้ตัวเอง มันคงจะเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก แต่มันก็ทำได้แค่คิด เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้
ลวี่เทาหรี่ตาลง เขาดูมีความดุร้ายเป็นอย่างมาก
ในเมื่อฉินเย่จือยังไม่ยอมจำนนต่อเขา เขาก็คงจะไม่มาเสียเวลากับคนผู้นี้แล้ว
ถ้าไม่ยอมมาเป็นคนของเขา ก็ฆ่าทิ้งเสียดีกว่า
“คนผู้นี้ทั้งดื้อรั้นและทำร้ายเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการ พวกเจ้าคงรู้นะว่าจะจัดการกับคนผู้นี้อย่างไร” เขาเคยพูดกับผู้ติดตามเซี่ยงเอาไว้ว่าคนผู้นี้เป็นมือขวาของกู้เสี่ยวหวาน ถ้าไม่มีเขา ก็จะง่ายในการจัดการกับกู้เสี่ยวหวาน
หลังจากที่ลวี่เทาพูดจบ เขาก็ออกจากห้องไป ทว่าคำพูดของลวี่เทานั้นก็เข้าหูของฉินเย่จือทุกคำพูด
ฉินเย่จือไม่ได้ลืมตาขึ้น เขาเพียงแสยะยิ้มมุมปากเท่านั้น
ห้องสอบสวนที่อึมครึมยิ่งทวีความน่าขนลุกขึ้น คนรับใช้ล้วนแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป ทุกคนมารวมกันอยู่ด้านนอก
ไม่มีใครเห็นว่ามีเงาตะคุ่ม ๆ อยู่หลังต้นไม้ที่หนาทึบ เขาได้ยินทุกคำพูดของลวี่เทา