ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1258 การเผชิญหน้า
บทที่ 1258 การเผชิญหน้า
บทที่ 1258 การเผชิญหน้า
อาโม่โยนชายคนหนึ่งที่ถูกคลุมด้วยกระสอบทรายลง ร่างกายส่วนบนถูกปกคลุมไว้ทำให้มองไม่เห็นว่าคนผู้นั้นคือใคร และเขาทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้เท่านั้น เดาว่าปากของเขาก็คงจะถูกอุดเอาไว้
เมื่อเห็นฉากนี้ ลวี่เทาก็หวาดกลัวแทบตาย และก่อนที่อาโม่จะปลดพันธนาการของชายคนนั้น เขาก็ถามก่อนว่า “เสี้ยนจู่ ท่านไปพาตัวผู้ต้องสงสัยมาจากที่ไหน”
“ข้าไม่ได้บอกว่าคนนี้เป็นผู้ต้องสงสัย ใต้เท้าลวี่ ท่านไม่อยากดูหรือว่าคนคนนี้คือใคร” กู้เสี่ยวหวานมองดูสีหน้าตึงเครียดของลวี่เทา เกรงว่าเขาจะเดาตัวตนของคนคนนี้ได้ จึงกระตุกยิ้มและกล่าวกับอาโม่กล่าวว่า “อาโม่ เปิดมัน”
อาโม่ดึงกระสอบออกจากศีรษะของชายผู้นั้น และผู้ที่ปรากฏตัวต่อหน้าลวี่เทาก็คือเหลยต้าเซิ่ง ลูกพี่ลูกน้องของเขา
ลวี่เทาตกใจและถามซ้ำ ๆ ว่า “นี่ นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“คงรู้จักกันอยู่แล้ว ข้าคงไม่จำเป็นต้องแนะนำ” กู้เสี่ยวหวานยิ้มจาง ๆ เมื่อเห็นลวี่เทาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจจนแทบจะยัดไข่เข้าไปได้
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ใต้เท้าจ้าวรีบไปข้างหน้าและถามกู้เสี่ยวหวาน “เสี้ยนจู่ ทั้งสองคนรู้จักกันหรือ”
“แน่นอน ข้าคิดว่าเขาน่าจะคุ้นเคยกับใต้เท้าลวี่เป็นอย่างดี ใต้เท้าลวี่ ทำไมท่านไม่บอกใต้เท้าจ้าวล่ะ”
ลวี่เทาคุกเข่าลงต่อหน้าใต้เท้าจ้าวด้วยความตกใจกลัวและพูดอย่างประหม่าว่า “ใต้เท้า ชายคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ตอนนี้เขาเปิดร้านยาอยู่ในเมืองหลิวเจีย”
“ใต้เท้าลวี่ อย่าหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยรอยยิ้ม ชี้ไปที่เหลยต้าเซิ่งซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้ “ทำไมท่านไม่บอกใต้เท้าล่ะว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนผู้นี้กับหลี่ซื่อผู้ล่วงลับเป็นอย่างไร?”
“ความสัมพันธ์อะไร”
“หลี่ซื่อผู้ล่วงลับ เดิมทีเป็นศิษย์ของเขา แต่ต่อมาเนื่องจากหลี่ซื่อไม่ได้เป็นหมอ ลูกพี่ลูกน้องของข้าจึงไล่เขาออก” ลวี่เทาพูดอย่างระมัดระวัง และพูดต่อไปพลางมองไปที่เหลยต้าเซิ่งไม่หยุด
ผ้าขี้ริ้วในปากของเหลยต้าเซิ่งถูกดึงออกไป เขาจึงเริ่มส่งเสียงโวยวาย “ใต้เท้าใต้เท้า ข้าถูกใส่ร้าย ข้าถูกใส่ร้าย หลี่ซื่อกับข้ามีความสัมพันธ์เป็นศิษย์และอาจารย์ แต่ต่อมาเขาประพฤติตัวไม่ดี ข้าจึงไล่เขาออกไปและไม่ได้เจอเขาอีกเลย”
“จริงหรือ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านบอกข้าเมื่อครู่นี้นี่?” กู้เสี่ยวหวานหรี่ตามองอีกฝ่าย ราวกับคาดหวังว่าเขาจะเปลี่ยนคำพูดกลางคัน
“เมื่อครู่ เจ้าต้องการชีวิตของข้า ข้าจะไม่โกหกได้อย่างไร ใต้เท้า นางต้องการฆ่าข้า ดังนั้นข้าจึงต้องโกหก” เหลยต้าเซิ่งคลานไปหาลวี่เทาและพูดด้วยความกลัว “ใต้เท้า อย่าเชื่อคำพูดของนางฝ่ายเดียว การตายของหลี่ซื่ออาจมีความเกี่ยวข้องกับท่านอาของนาง หลี่ซื่อและเฉาซินเหลียนมีความสัมพันธ์กัน ไม่นานหลังจากที่เขาออกจากคุกก็ถูกฆ่าตาย เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาสามของนางจะเป็นคนลงมือกำจัดเขา อาสามของนางซึ่งถูกภรรยาสวมหมวกเขียวให้ เขาจึงมีความคับแค้นใจกับหลี่ซื่อ แต่เพราะหลี่ซื่ออยู่ในคุกเขาจึงไม่สามารถลงมือได้ เมื่อได้รับการปล่อยตัวจึงรีบลงมือทันที”
เหลยต้าเซิ่งรีบคลายความสงสัยทั้งหมดและโยนเรื่องไปที่กู้ฉวนโซ่ว ดวงตาของลวี่เทาเป็นประกายเมื่อเขาได้ยิน “ทำไมข้ากับใต้เท้าจ้าวถึงคิดไม่ถึงเรื่องนี้กัน ใช่แล้ว อาสะใภ้สามของเสี้ยนจู่ เฉาซื่อและผู้เสียชีวิตหลี่ซื่อมีความสัมพันธ์กันอย่างลับ ๆ ต่อมาเมื่อเฉาซื่อถูกประหารและหลี่ซื่อที่ถูกคุมขังเพิ่งได้รับการปล่อยตัว ไม่นานหลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัว เขาก็ประสบกับเรื่องดังกล่าว เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ กู้ฉวนโซ่วคงจะรับไม่ได้กับความสัมพันธ์นี้” ลวี่เทาถูมือของเขาอย่างตื่นเต้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ
“พวกเจ้า… รีบไปจับกุมคุณชายกู้เสีย!” ลวี่เทาตะโกนอย่างตื่นเต้น
จากนั้นก็ได้ยินกู้เสี่ยวหวานตะโกนลั่น “เดี๋ยวก่อน ใต้เท้าลวี่ ไม่ต้องพูดถึงว่ากู้ฉวนโซ่วเป็นฆาตกรหรือไม่ ตอนนี้เขาย้ายไปอยู่ที่ไหน ท่านรู้หรือว่าจะไปจับกุมเขาที่ไหน?”
กู้ฉวนโซ่วได้ย้ายออกไปแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าเขาย้ายไปที่ไหน
แต่ลวี่เทากลับพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าจับเขาไม่ได้ ก็จับคนในครอบครัวเขาเถอะ อย่างไรเสียสักวันหนึ่งก็คงจะสามารถจับเขาได้”
“การพิจารณาคดีของใต้เท้าลวี่เป็นแบบนี้นี่เอง” ใต้เท้าจ้าวหัวเราะเยาะเมื่อได้ยินสิ่งนี้ คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ลวี่เทาตัวสั่นด้วยความตกใจ
“เอาเถอะ ใครคือฆาตกรกันแน่ ข้ายังต้องสอบปากคำผู้ต้องสงสัยทั้งหมด และข้าจะสอบปากคำผู้ต้องสงสัยทั้งหมดพร้อมกัน” ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ใต้เท้าจ้าวก็กลับไปทำหน้าที่ของเขา
เนื่องจากพวกเขาขึ้นโรงศาลในตอนกลางคืนและไม่มีผู้คนมารอดู กู้เสี่ยวหวานในฐานะผู้ต้องสงสัยทางอาญาจึงไปที่โรงศาลเช่นกัน
กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ในห้องพิจารณาคดีอยู่นาน จากนั้นเห็นว่ากู้ฉวนลู่และลูกจ้างในร้านจิ่นฝูถูกจับตัวออกมา แต่ก็ยังไม่เห็นฉินเย่จือและเสี่ยวเหลียงจื่อ มันทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกงุนงง
เมื่ออยู่ในโรงศาล พวกเขาจึงแสดงความคิดเห็นต่อการตายของจูเหล่าเอ้อร์และคนรับใช้เหล่านั้น และทุกคนต่างพูดว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนทำ
กู้ฉวนลู่ยังคงนิ่งเงียบ
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่ากู้ฉวนลู่ถูกจับได้อย่างไร จากนั้นก็ได้ยินใต้เท้าจ้าวตะโกนเสียงดัง “กู้ฉวนลู่ เจ้ามีปัญหากับเสี้ยนจู่หรือไม่”
กู้ฉวนลู่พยักหน้าก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้า การกระทำที่ขัดแย้งกันเช่นนี้เหมือนต้องการจะสื่อว่าพวกเขาไม่รู้จะพูดอย่างไร
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากู้ฉวนลู่มีปัญหากับเถ้าแก่ร้านของพวกเจ้า” เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูด ใต้เท้าจ้าวจึงไม่ถามเขาอีก และหันไปถามลูกจ้างเหล่านั้นแทน
ในตอนแรก บางคนไม่ได้พูดออกมา แต่ไม่นานก็มีคนยอมเปิดปาก “เขามาขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่ร้าน แต่นางไม่ยอมช่วยเขา เถ้าแก่ไล่เขาออกไปและไม่อนุญาตให้เขาเข้ามาใกล้ร้านจิ่นฝูแม้แต่ครึ่งก้าว”
เมื่อมีคนหนึ่งเริ่มพูด จากนั้นคนอื่นก็เริ่มมีความกล้า “ถูกต้อง เขามีเรื่องบาดหมางกับเถ้าแก่ มีคนมากมายเห็นเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่แค่พวกข้าเท่านั้น”
“ใต้เท้า ข้าได้ขอความช่วยเหลือจากเสี่ยวหวาน แต่นางบอกว่านางช่วยไม่ได้ แถมยังโยนข้าออกจากร้านจิ่นฝู ตอนนั้นข้าโกรธมากจนพูดบางอย่างออกไปอย่างไม่ได้คิด หลังจากนั้นข้าก็กลับไปที่เมืองรุ่ยเสียน ภรรยาและลูกสาวของข้ากลับไปที่เมืองรุ่ยเสียนแล้ว ข้าอยู่ที่นี่สองสามวันเพราะอยากรู้ว่านางจะช่วยได้ไหม เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน นางไม่ควรใจร้ายกับพวกเรา แต่จะรู้ได้อย่างไรว่านางจะทำเช่นนี้” ยิ่งกู้ฉวนลู่พูดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเท่านั้น
“ลูกชายของข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง ข้าเพียงไปขอให้นางคุยกับอาจารย์ฝางให้จือเหวินไปเรียนกับหนิงอัน แต่นางกลับปฏิเสธอย่างเย็นชา” กู้ฉวนลู่หน้าแดง หยาดน้ำตาเอ่อคลอเบ้าพร้อมที่จะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ลวี่เทาก็จ้องมองที่กู้เสี่ยวหวานและพูดอย่างไม่พอใจ “เสี้ยนจู่ แม้ว่าท่านจะเป็นเสี้ยนจู่ระดับห้า แต่พวกท่านก็เป็นญาติกัน ลุงของท่านขอร้องให้ช่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ท่านกลับไม่ยอมช่วย ช่างใจร้ายจริง ๆ”
ตราบใดที่ทำให้กู้เสี่ยวหวานตกที่นั่งลำบากได้ ลวี่เทาก็พร้อมที่จะเหยียบย้ำ
กู้ฉวนลู่มองคนที่ยืนอยู่ข้างเขาพลางร้องไห้ออกมา “จือเหวินคือโชคชะตาของข้า ข้ายอมแบกหน้าบาง ๆ นี้ไปขอร้องผู้เป็นหลาน ข้าเพียงคิดว่าถ้าจือเหวินประสบความสำเร็จในอนาคต การช่วยเหลือครั้งนี้ข้าก็จะจดจำมันไว้อย่างดี แต่ตอนนี้อย่าได้พูดถึงมันเลย”
เนื่องจากกู้เสี่ยวหวานมีตำแหน่งเป็นถึงเสี้ยนจู่ ในศาลาว่าการแห่งนี้ แม้แต่ใต้เท้าจ้าวก็มีตำแหน่งต่ำกว่านาง ดังนั้นนางจึงได้นั่งเก้าอี้พิงในห้องโถงด้วยท่าทีสบาย ๆ
กู้เสี่ยวหวานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดเหน็บแนมของกู้ฉวนลู่ และจิบชาอย่างมีความสุข
ลวี่เทาและกู้ฉวนลู่พูดมาเป็นเวลานาน และเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขา ใบหน้าของเขาก็แสดงความไม่พอใจโดยธรรมชาติ แต่เขาไม่สามารถทำอะไรกู้เสี่ยวหวานได้เพราะนางเป็นเสี้ยนจู่ระดับห้า เมื่อเปรียบเทียบกับเขาที่เป็นขุนนางระดับแปดก็ไม่รู้ว่าสถานะของนางใหญ่แค่ไหน
นอกจากนี้ ใต้เท้าจ้าวยังไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะกล่าวโทษกู้เสี่ยวหวาน
เนื่องจากกู้เสี่ยวหวานเอาแต่ดื่มชาและไม่เอ่ยสิ่งใด ใต้เท้าจ้าวเองก็ไม่ได้พูดอะไร ทั้งห้องโถงจึงตกอยู่ในความเงียบในทันที ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนดูเหนื่อยล้าและพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ
กู้เสี่ยวหวานวางถ้วยชาในมือลงและมองไปที่ลูกจ้างในร้าน คนเหล่านั้นได้รับความโปรดปรานมากมายจากกู้เสี่ยวหวาน เดิมทีพวกเขาเป็นคนอดอยาก และกู้เสี่ยวหวานก็เป็นคนช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ แน่นอนว่าพวกเขารู้สึกขอบคุณกู้เสี่ยวหวาน แต่คราวนี้พวกเขากลับทรยศหักหลังกู้เสี่ยวหวาน เมื่อเห็นนางจ้องมองมาที่ตนเอง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้างุด และไม่กล้ามองกู้เสี่ยวหวานอีก
แต่ในขณะนี้ เสียงฆ้อนดังขึ้น ทำให้ความง่วงของคนเหล่านี้หมดไป “กู้ฉวนลู่ มีคนบอกว่าเจ้าเคยไปที่ร้านยาของเหลยต้าเซิ่งมาก่อน เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่”
“ไม่ ๆๆ” กู้ฉวนลู่รีบโต้กลับ “ตั้งแต่ข้าถูกไล่ออกจากร้านจิ่นฝู ข้าก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมทันที ข้าไม่ได้แวะที่ไหนอีกเลย”
“จริงหรือ?” กู้เสี่ยวหวานหัวเราะเบา ๆ ด้วยสีหน้าไม่เชื่อ “ท่านไม่ได้ไปหาหมอเหลยจริง ๆ หรือ แต่ข้าได้ยินมาว่ามีคนไปหาหมอเหลยกับท่าน เหอะ! อาโม่รีบพาเขาขึ้นมา”
ดวงตาของกู้ฉวนลู่เบิกกว้าง มองท่าทางที่มุ่งมั่นของกู้เสี่ยวหวานพลางสงสัยว่าคนผู้นี้คือใคร
เป็นหลิวชิงซานใช่หรือไม่?
จะเป็นไปได้อย่างไร เขาไม่น่าจะโง่เขลาขนาดนั้น
แต่ชั่วพริบตา คนที่มาใหม่นั้นทำให้ขาแข้งของกู้ฉวนลู่ไร้เรี่ยวแรงจนทรุดลงกับพื้น หากคนที่มาไม่ใช่หลิวชิงซานแล้วจะเป็นใครได้อีก