ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1262 ว่านซื่อเองก็มาด้วย
บทที่ 1262 ว่านซื่อเองก็มาด้วย
บทที่ 1262 ว่านซื่อเองก็มาด้วย
ใต้เท้าจ้าวหัวเราะ “ใต้เท้าลวี่กล่าวอะไร ข้าก็ไม่กล่าวโทษท่านหรอก เพียงแต่เหมือนว่าสาวใช้ผู้นี้จะสนิทสนมกับท่าน ทั้งยังคอยปกป้องท่านตลอดเวลา หากกล่าวแทนท่านแล้ว ท่านกลับแข็งใจให้ลงโทษแม่นางผู้นี้ได้อย่างไร หากโบยลงไปแล้ว แม่นางผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือ ไม่ต้องกล่าวว่าท่านนึกถึงชื่อเสียงเสี้ยนจู่ เพียงเพื่อชื่อเสียงเสี้ยนจู่ก็จะปลิดชีวิตคนแล้ว ท่านคิดจะวางเสี้ยนจู่ไว้ที่ไหน หรือกล่าวว่าใต้เท้าลวี่คิดอยากจะเอาชีวิตแม่นางผู้นี้กันเล่า”
คำพูดของใต้เท้าจ้าวกระแทกเข้าตรงจุดของลวี่เทาทันที
ใช่แล้ว เขาต้องการให้เหอฮวาตาย
มีเพียงคนตายเท่านั้นที่ไม่สามารถพูดได้
ถ้าหากเรื่องของว่านซื่อถูกเปิดโปงออกมา นั่นก็ถือว่าเป็นหายนะจริง ๆ แล้ว
เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่เหลืออะไรแล้ว
อย่าว่าแต่อนาคตที่สดใสเลย แค่ตำแหน่งข้าราชการของศาลาว่าการขั้นเก้าก็หายไปแล้ว
เมื่อนึกถึงตอนแต่งงานที่ตระกูลกัวให้ตัวเองสาบาน ลวี่เทาก็กลัวจนตัวสั่นสะท้าน
“ใต้เท้าจ้าว ข้าน้อยคิดถึงชื่อเสียงของเสี้ยนจู่จริง ๆ” ลวี่เทารีบร้อนแสดงความภักดี
“อ้อ งั้นรึ ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น” ใต้เท้าจ้าวไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด จึงถามด้วยท่าทางเหมือนกับสงสัย ทำให้ลวี่เทาตกตะลึงกับคำถามและกล่าวอะไรไม่ออก
ในตอนนี้คำพูดของกู้เสี่ยวหวานก็ทำให้ลวี่เทาตกที่นั่งลำบากมากยิ่งขึ้น
“ใต้เท้าจ้าว ท่านอย่าทำให้ใต้เท้าลวี่รู้สึกลำบากใจเลย ถ้าหากว่าท่านสงสัยว่าใต้เท้าลวี่กับแม่นางผู้นี้มีอะไรบางอย่าง เช่นนั้นก็เข้าใจผิดแล้วจริง ๆ แม่นางคนนี้เป็นเพียงแค่สาวใช้เท่านั้นเอง รับใช้เจ้านายโดยเฉพาะ นางไม่ได้สนิทสนมกับใต้เท้าลวี่ แต่ว่าเจ้านายนางกับใต้เท้าลวี่นั้นสนิทสนมกันมาก” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างขบขัน ลวี่เทาเห็นท่าทางกู้เสี่ยวหวานยิ้มราวกับไม่ยิ้มจนยากจะเข้าใจว่าที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวนั้นจริงหรือเท็จ
ตัวเองซุกซ่อนว่านซื่อไว้อย่างมิดชิดไม่มีทางที่ผู้ใดจะรู้
แต่ทว่าคำพูดของกู้เสี่ยวหวานนั้นกลับทำให้ลวี่เทาร้อนรนจนสีหน้าตื่นตระหนก
ในตอนนี้หลิวชิงซานที่อยู่ข้าง ๆ ก็สบโอกาสเอ่ยขึ้นมา จึงรีบร้อนพูดว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยสามารถเป็นพยานได้ ใต้เท้าลวี่กับแม่นางของสาวใช้ผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
“เหลวไหล ข้ารู้จักเจ้านายของสาวใช้ผู้นี้เสียที่ไหน ช่างเหลวไหลเสียจริง” ลวี่เทารีบร้อนแย้งราวกับมีความมั่นใจอย่างมาก
แต่ในชั่วเวลาถัดมา เสียงเรียกตะโกนอย่างนุ่มนวลก็ทำให้เขาเป็นอัมพาตอย่างสมบูรณ์
“ลวี่หลาง” น้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนหวานจนทำให้คนฟังใจละลายอ่อนระทวย ทว่าวันนี้พอได้ยินกลับยิ่งเหมือนเป็นเครื่องเร่งเวลาชีวิตที่มาพรากเอาชีวิตของเขา
เสียงที่คุ้นเคยนั้นดังจากไกลเข้ามาเรื่อย ๆ ลวี่เทาร่างกายแข็งทื่อกลายเป็นหินทันที
ไม่ต้องหันไปก็สามารถเดาได้ว่าเสียงที่คุ้นเคยนุ่มนวลนี้นั้นเป็นของผู้ใด
นอกจากว่านซื่อแล้วยังจะมีผู้ใดอีก
ว่านซื่อสะพายห่อผ้าไว้ บนร่างแต่งตัวได้อย่างกะทัดรัดคล่องตัว เห็นเช่นนี้ก็เดาได้ว่านางจะเดินทางไปไหนไกล
เมื่อว่านซื่อมาถึงศาลาว่าการและเห็นผู้คนมากมาย ตอนแรกนางก็งงงันเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นลวี่เทาในห้องโถงใหญ่และยังมีใต้เท้าท่านอื่นซึ่งดูเคร่งขรึมจริงจังมองเขม็งมาที่ตัวเอง ว่านซื่อถึงเพิ่งจะตอบสนองจนหน้าถอดสีทันที
แย่แล้ว ตัวเองถูกคนหลอกแล้ว
โดยไม่ทันคิดอะไร ว่านซื่อก็หอบห่อผ้าหมุนตัวหันหลังจะจากไป
เพียงแต่ว่า ไม่ง่ายเลยที่จะเชิญมาได้ กู้เสี่ยวหวานจะปล่อยให้นางจากไปได้อย่างไรกัน
“ว่านฮูหยินเพิ่งมาก็จะไปแล้วรึ ไม่รำลึกความหลังกับใต้เท้าลวี่สักหน่อยหรือ” กู้เสี่ยวหวานหัวเราะเบา ๆ สายตานั้นมองไปมองมาระหว่างลวี่เทาและว่านซื่อ ใต้เท้าจ้าวเองก็เป็นคนฉลาด ในสายตาของกู้เสี่ยวหวานนั้นจะต้องเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินตรงหน้านี้กับลวี่เทาออกแน่
“พูดจาไร้สาระอะไร ข้าไม่รู้จักเขา” ว่านซื่อถูกคนหยุดไว้ ใบหน้าพลันแดงซ่านทันทีและกล่าวปฏิเสธ
“ไม่รู้จัก งั้นเมื่อครู่นี้ใครกันที่ตะโกนเรียกลวี่หลาง ข้าได้ยินชัดเจนนะ”
ทันทีที่คำพูดของกู้เสี่ยวหวานหยุดลงก็มีคนขวางว่านซื่อเอาไว้ให้กลับไปในห้องโถงอีกรอบ
ว่านซื่อจับห่อผ้าที่พะรุงพะรังในมือไว้แน่น เหมือนกับจะออกเดินทางไปไกลหรือไม่ก็จะย้ายบ้านอย่างไรอย่างนั้น
ลวี่เทามองว่านซื่อที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างโถงด้วยความหวาดกลัวอย่างมาก ไม่ใช่ว่าตัวเองได้ส่งคนให้พานางออกจากเมืองหลิวเจียแล้วหรอกหรือ
ทำไมนางถึงยังกลับมา แล้วยังมาในศาลาว่าการอีก
เสียงที่เรียกลวี่หลางเมื่อครู่นี้เขาเองก็ได้ยินอย่างชัดเจนว่าว่านซื่อนั้นไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่
เกิดอะไรขึ้น
กู้เสี่ยวหวานนั่งบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ มาตลอดพลางดื่มน้ำชาตรงหน้า
ถ้วยชาตรงหน้าของนางนั้นไม่รู้ว่าถูกเติมไปกี่ถ้วยแล้ว
ในเวลานี้เองสาวใช้คนหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาอยู่ข้างหลังกู้เสี่ยวหวาน ทั้งยังกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูนาง
สาวใช้ผู้นี้มาอย่างมีลับลมคมใน หรือว่า
ลวี่เทามองว่านซื่อและมองกู้เสี่ยวหวาน เห็นกู้เสี่ยวหวานมองกลับมาที่ตัวเองอย่างสนอกสนใจด้วยสีหน้าที่พอใจ
หรือว่า
กู้เสี่ยวหวานนั้นรู้เรื่องของตัวเองกับว่านซื่อ
หลังจากที่ว่านซื่อมา เรื่องทั้งหมดนี้ก็ยิ่งอยู่เหนือการควบคุมของลวี่เทามากขึ้นเรื่อย ๆ
เขารู้สึกร้อนรนจนเหงื่อเต็มศีรษะ ทว่ากลับมีคนที่รอดูการแสดงของเขา
ใต้เท้าจ้าวมองลวี่เทาอย่างจริงจัง เมื่อเห็นว่าเขาประหม่าจนเหงื่อออกแล้วก็รู้ว่าสตรีวัยกลางคนที่ปรากฏตัวออกมาทีหลังนี้ ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้กับเขาอย่างแน่นอน
“ใต้เท้าลวี่ ฮูหยินท่านนี้กับท่านใต้เท้าสนิทกันมากหรือ” นั่นไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือ หากไม่สนิทสนมกันจะตะโกนเรียกอย่างสนิทสนมว่าลวี่หลางสองคำนี้ออกมาหรือ
“ใต้เท้า ไม่ใช่สนิทกันมาก ไม่ก็ไม่ใช่ถือว่าสนิทกันกระมัง” ลวี่เทาพูดจาไม่ปะติดปะต่อกันแล้ว
ใต้เท้าจ้าวดูเหมือนจะชอบดูท่าทางที่จนมุมของเขามาก จึงยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า
“เช่นนั้นสรุปแล้วคือสนิทหรือว่าไม่สนิทกันแน่หรือ”
“ก็คุ้นเคยอยู่บ้าง สามีของฮูหยินท่านนี้ถูกข้าตัดสินคดีเมื่อปีนั้น ก็นับว่าเป็นคนคุ้นหน้า”
“เช่นนั้นก็เป็นคนรู้จักเก่าแล้ว” ใต้เท้าจ้าวมองลวี่เทากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “มิน่าเล่าฮูหยินท่านนี้ถึงได้เอ่ยตะโกนเรียกท่านว่าลวี่หลาง ทำข้ายังนึกไปเสียว่าฮูหยินกัวมาแล้วเสียอีก”
ลวี่เทาได้ยินกัวฮูหยินสามคำนี้แล้วก็หวาดกลัวมากอย่างยิ่งจนหน้าซีด ทั่วทั้งตัวราวกับถูกคนเลาะเอ็นและกระดูกออก ตกใจจนล้มไปด้านหลัง หากไม่มีโต๊ะข้างหลังขวางเขาไว้เกรงว่าจะตกลงไปนอนแผ่หลาบนพื้นอ้าแขนอ้าขาออกด้วยท่าทางที่ไม่น่าดูแล้ว
ท่าทางตื่นตระหนกของลวี่เทานั้นยิ่งตกอยู่ในสายตาของกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อลวี่เทาได้ยินกัวฮูหยินสามคำนี้ก็ตื่นตระหนกตกตะลึง หรือว่ากัวฮูหยินนี้
อาจั่วที่อยู่ข้าง ๆ เห็นสายตาสำรวจของกู้เสี่ยวหวาน อาโม่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบอธิบายว่า “คุณหนู ลวี่เทาผู้นี้เป็นลูกเขยของตระกูลกัว กัวฮูหยินนั้นเป็นคนที่มีนิสัยร้ายกาจ อีกทั้งตระกูลกัวยังมีกฎสำหรับลูกเขยที่แต่งเข้ามาว่าไม่สามารถมีอนุภรรยาได้ นอกเสียจากว่าฮูหยินจะไม่สามารถมีบุตรได้ ถ้าหากว่ามีความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงข้างนอก ตระกูลกัวจะขัดขวางและปลดออกจากอำนาจทั้งหมด”
ปลดออกจากอำนาจทั้งหมด
ชำระล้างก่อนหย่า*[1]
ตระกูลกัวนี้เก่งมาก
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าตระกูลกัวจะตั้งกฎเช่นนี้ออกมาเพื่อบุตรสาวของตัวเอง
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของลวี่เทาที่ขาวซีดจนเหมือนกระดาษแล้ว ไหนเลยจะยังมีความเย่อหยิ่งและความถือดีเหมือนยามปกติอยู่อีก ท่าทางนั้นหวาดกลัวอย่างยิ่งจนทั่วทั้งร่างสั่นเทา “ใต้เท้า ข้ากับนางไม่รู้จักกัน ไม่คุ้นเคย ข้าเพียงแค่รู้สึกสงสารพวกเขา จึงดูแลเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ข้ากับสตรีผู้นี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันแม้แต่น้อย ข้าไม่รู้จักนาง”
ลวี่เทาร้องไห้พลางตะโกน พยายามที่จะตัดความสัมพันธ์ของตัวเองกับว่านซื่อ ท่าทางร้องไห้นั้นดูเหมือนว่าลวี่เทาจะกลัวว่าเรื่องของตัวเองกับว่านซื่อนั้นจะถูกเปิดเผยอย่างมาก
ว่านซื่อคุกเข่าอยู่ด้านล่างโถงมาโดยตลอด
เมื่อเห็นผู้คนมากมายเช่นนี้ นางเองก็แปลกใจมากเช่นกัน
เดิมทีนั้นนางอยู่ในจวนดี ๆ จู่ ๆ ในยามนั้นก็มีคนส่งข่าวจากลวี่เทามาให้ บอกว่าใต้เท้าสั่งมาว่าให้นางรีบเก็บทองและเงินแล้วออกจากเมืองหลิวเจียทันที
ว่านซื่อนึกถึงว่าช่วงนี้เมืองหลิวเจียมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นแล้วสองคดี ลวี่เทาเองก็หงุดหงิดที่ตามหาฆาตกรไม่ได้ นางนึกว่าลวี่เทาต้องการให้ตัวเองหลีกเลี่ยงปัญหา ดังนั้นจึงเก็บข้าวของและจัดหาที่พักให้ลูกชายทั้งสองแล้วหนีไป
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพอวิ่งออกมาถึงตรงปากประตูก็มีรถม้าจอดอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว บอกว่าใต้เท้ามารับนางไปที่ศาลาว่าการ
คนหนึ่งบอกให้ตัวเองจากไป คนหนึ่งบอกให้ตัวเองไปศาลาว่าการ
ว่านซื่อเองก็ไม่รู้ว่าควรจะฟังผู้ใด แต่ว่ารถม้าคันหลังของคนนั้นเป็นรถที่ลวี่เทาเคยนั่งมา ว่านซื่อเห็นเมื่อตอนบ่ายก็เป็นรถม้าคันนี้จึงไม่ได้คิดอะไรมากและตามมา
ทันทีที่มาถึงด้านนอกศาลาว่าการ ก็มีคนของศาลาว่าการบอกว่าใต้เท้ากำลังรอตัวเองอยู่ข้างใน เพื่อที่จะไม่ให้ใต้เท้าลวี่รอตัวเองนานจนเกินไป จึงยังตะโกนเรียกลวี่หลางอีกด้วย
ว่านซื่ออยากเอาใจลวี่เทา ย่อมต้องตะโกนเรียกลวี่หลางอย่างอ่อนหวาน
แต่เมื่อเดินเข้ามาแล้ว ถึงได้พบว่าตัวเองถูกหลอกแล้ว
ว่านซื่อเองก็ไม่ได้อยากจะมาพบลวี่เทาในที่ที่มีคนพลุกพล่านเช่นนี้ เดิมทีลวี่เทาเองก็เคยบอกกับนางว่าตัวเองนั้นมีภรรยาที่นิสัยร้ายกาจมากอยู่ที่จวน ถ้าหากความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกภรรยาที่ร้ายกาจคนนั้นรู้เข้า ทั้งสองคนก็จะจบลงไม่ดี
ว่านซื่อติดตามลวี่เทาก็เพียงแค่ต้องการหาที่ตั้งหลักตั้งตัว
เมื่อก่อนติดตามเหมียวเอ้อร์ไม่ใช่ว่าอยากมีชีวิตที่ดีหรอกหรือ
[1] หมายความว่าเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจหย่าร้าง ฝ่ายหนึ่งขอให้อีกฝ่ายออกจากการสมรสโดยไม่ได้รับทรัพย์สินร่วมกันใด ๆ