ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1263 ผลักความผิด
บทที่ 1263 ผลักความผิด
บทที่ 1263 ผลักความผิด
ถึงแม้ว่าการติดตามลวี่เทานั้นจะไม่มีชื่อเสียงไม่มีฐานะ แต่ว่าลวี่เทานั้นก็ให้ค่าตอบแทนไม่ได้ด้อยไปกว่าตอนที่ตัวเองติดตามเหมียวเอ้อร์เป็นภรรยาใหญ่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกันแล้วยังดีกว่าเหมียวเอ้อร์ร้อยเท่าพันเท่า อย่างไรเสียคนหนึ่งก็เป็นพนักงานบัญชีในร้าน คนหนึ่งเป็นใต้เท้าของศาลาว่าการ ค่าตอบแทนนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดินจนเทียบกันไม่ได้เลย
ว่านซื่อพอใจมาก ไม่เพียงแต่ตัวเองจะใช้ชีวิตแบบนายหญิงเท่านั้น ข้างกายยังมีสาวใช้ด้วย ตัวเองไม่ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า ลูกชายทั้งสองคนของตัวเองลวี่เทาก็จัดการให้อย่างดี ว่านซื่อเพียงแค่ต้องอยู่ที่บ้านรอคอยให้ลวี่เทาไปหาก็พอแล้ว
ชีวิตที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร ใครจะไม่อยากอยู่เล่า
ว่านซื่อยิ่งยินดีที่จะคอยปรนนิบัติลวี่เทาให้มีความสุขจนหาจากที่ไหนไม่ได้
แต่ว่าเมื่อไปมาหาสู่กันนานเข้า บุรุษสตรีก็ควรจะมีความรู้สึกระหว่างชายหญิง ยิ่งกว่านั้นว่านซื่อที่เป็นสตรีก็ยิ่งรู้สึกประทับใจต่อบุรุษผู้นี้ที่มอบความอบอุ่นเอาใจใส่นาง ในใจก็หวังว่าตัวเองที่อยู่ในใจของลวี่เทานั้นจะแตกต่างไปบ้าง
แต่ว่าความฝันยังคิดได้ไม่นานก็ถูกลวี่เทาราดน้ำเย็นสาดในใจ
นางบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เพียงแค่ดูแลตัวเองเพียงเท่านั้น
ว่านซื่อรู้ว่าลวี่เทากลัวภรรยาผู้ดุร้ายที่อยู่ที่จวนจึงอดทนไว้
แต่ว่าหลิวชิงซานกลับไม่ได้เห็นเช่นนั้น เขาเคยเห็นสองคนนี้ อีกทั้งร่างกายส่วนบนนั้นก็เคยเห็นแล้ว จะไม่คุ้นเคยได้อย่างไร
“ใต้เท้าลวี่ เจ้ากับฮูหยินท่านนี้ไม่คุ้นเคยกันจริงหรือ พวกเจ้าสนิทคุ้นเคยกันจนถึงบนเตียงแล้ว ขอถามใต้เท้าลวี่ช่วยบอกข้าทีว่าถ้าถอดเสื้อผ้าออกแล้วกอดกันไม่เรียกว่าคุ้นเคย งั้นอะไรถึงจะเรียกว่าคุ้นเคยกันเล่า” หลิวชิงซานกล่าวด้วยความแปลกใจ
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขบขันอยู่ในใจ
นางรู้จักหลิวชิงซานมานานแล้ว เขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะพูดเช่นนี้
“เจ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีข้า” ลวี่เทาในตอนนี้สามารถใช้คำว่าหวาดกลัวมาบรรยายได้จริง ๆ “ใต้เท้า เขากำลังใส่ร้ายข้า เขากำลังใส่ร้ายข้า ข้ากับสตรีผู้นี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อื่น ไม่มี ไม่มี ข้าก็แค่ดูแลพวกเขาแม่ลูก หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็ถามสตรีผู้นี้ได้”
ว่านซื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นลวี่เทาขยิบตาส่งให้ตัวเองไม่หยุด ว่านซื่อเองก็ไม่ใช่คนโง่จึงรีบพยักหน้า “ใต้เท้า ใช่แล้ว ข้าน้อยเป็นหญิงม่ายต้องดูแลลูกสองคนนั้นลำบากมาก ใต้เท้าลวี่ช่วยเหลือข้าบ่อย ๆ ข้าจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณมาตลอด”
ลวี่เทาวางใจแต่ก็ไม่ปล่อยวางไปง่าย ๆ
ประโยคต่อมาของหลิวชิงซานทำให้ลวี่เทาแทบจะอดทนไม่ไหวจนอยากจะบีบคอเขาให้ตาย “แม่นางท่านนี้ เจ้าอย่าได้ถูกเขาหลอกเอานะ เขาอยากทิ้งเจ้าไปสนิทสนมกับคนที่อายุน้อยกว่า เจ้าอย่าลืมนะว่ายังมีสตรีที่งดงามราวกับบุปผาอยู่ข้าง ๆ เจ้า ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจแอบคิดอยากจะทิ้งเจ้าไว้นานแล้ว เจ้าคงไม่อยากถูกหลอกโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวกระมัง”
หลิวชิงซานผู้นี้ไม่เลวเลยจริง ๆ กู้เสี่ยวหวานอยากจะปรบมือให้เขาแล้ว
ว่านซื่อได้ฟังคำพูดของหลิวชิงซานก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตื่นตระหนก เมื่อมองตามสายตาของเขาก็เห็นเหอฮวาคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ เขา สายตาพลันมืดครึ้มทันที
ต่างคนต่างก็มีความคิดของตัวเอง
ว่านซื่อขบคิดในใจอย่างรวดเร็วถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ ลวี่เทาเป็นเหมือนสวรรค์ของตัวเอง ถ้าหากตัวเองสร้างความยากลำบากให้ลวี่เทา เช่นนั้นนางกับลวี่เทาจะต้องไม่มีชีวิตที่ดีแน่
อีกทั้งใต้เท้าที่อยู่เบื้องบนผู้นั้นดูเหมือนว่าตำแหน่งจะสูงกว่าลวี่หลาง นางไม่สามารถเพิ่มภาระให้ลวี่หลางได้อีก
ว่านซื่อเปิดปากเอ่ยทันทีว่า “พี่ชายท่านนี้พูดอะไร ทำไมข้าถึงฟังไม่เข้าใจเล่า ใต้เท้าลวี่เห็นใจข้าที่สามีจากไปเสียก่อน หญิงม่ายคนหนึ่งและลูกสองคนหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ ในยามปกติแล้วก็ดูแลข้ากับลูกทั้งสองเป็นอย่างดี ข้ากับใต้เท้าลวี่บริสุทธิ์ใจ คำพูดของพี่ชายท่านนี้รังแกกันเกินไปแล้วจริง ๆ”
ว่านซื่อมองค้อนใส่และจ้องมองหลิวชิงซานด้วยความโมโห เหมือนกับแอบตำหนิด้วยความโกรธว่าหลิวชิงซานผู้นี้พูดจาไร้สาระใส่ร้ายชื่อเสียงของใต้เท้าลวี่ “ใต้เท้าลวี่มีบุญคุณต่อข้าอย่างยิ่ง เจ้ากล้าใส่ร้ายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำได้อย่างไร”
หลิวชิงซานหัวเราะเหอะออกมาอย่างโง่งม มองว่านซื่อขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างมุ่งร้ายสลับกับมองใต้เท้าลวี่อีกครั้ง สายตานั้นสอดส่องไปมาระหว่างทั้งสองคน ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยเจตนาที่ไม่หวังดีเสียดลึกเข้ากระดูก
ว่านซื่อเคยเห็นสายตาเช่นนี้ของบุรุษ จึงเป็นสัญญาณเตือนในใจ ขณะที่กำลังจะใช้มือตัวเองหยุดเอาไว้ก็ได้ยินหลิวชิงซานพูดออกมาเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เหมือนกับหม้อที่ระเบิดออกอย่างกะทันหัน “งั้นหรือ ฮูหยินท่านนี้ข้าเคยเห็นไฝดำเม็ดใหญ่ที่หลังด้านขวาของเจ้า ต้นขายังมีรอยเขียวซึ่งคงจะเป็นปานกระมัง และยังใต้เท้าลวี่ บนอกของท่านเองก็มีไฝดำเม็ดหนึ่งใช่หรือไม่”
ลวี่เทาตกตะลึง
ว่านซื่อตกใจดวงตาเบิกโพลง จนแทบจะหมดสติลงไป
เขารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีรอยเขียวที่ต้นขา แล้วรู้ได้อย่างไรว่านางมีไฝดำเม็ดใหญ่บนหลังขวา
ว่านซื่อสีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด หลังจากที่ผู้คนรอบ ๆได้ฟังคำพูดของหลิวชิงซานแล้วก็ไม่ได้ตอบสนองทันที แต่เมื่อเห็นร่างที่แข็งทื่อราวกับหินของว่านซื่อและลวี่เทาแล้วก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที
การแสดงออกของทั้งสองคนนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่หลิวชิงซานพูดนั้นเป็นความจริง
แต่ว่าหลิวชิงซานรู้ได้อย่างไรเล่า
อาโม่ที่รู้เรื่องราวภายในเป็นอย่างดี ใบหน้าก็แดงขึ้นทันทีจึงก้มหน้าลงเงียบ ๆ ในหัวนั้นดูเหมือนว่าจะนึกถึงเสียงครวญครางของว่านซื่อและลวี่เทายามร่วมรักกัน
และยังมีหลิวชิงซานที่เป็นคนนอก
เหตุใดหลิวชิงซานถึงรู้เรื่องราวส่วนตัวเช่นนี้ได้ อาโม่นั้นรู้อย่างชัดแจ้ง
ว่านซื่อเกิดความกลัวขึ้นมาแล้ว
จึงหันไปมองเหอฮวาที่คุกเข่าอยู่ข้างหลิวชิงซานด้วยสายตาดุร้าย และแผดเสียงขึ้นมาอย่างน่ากลัว “เหอฮวา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่บอกเขา ข้าจะเอาชีวิตเจ้า”
ว่านซื่อไม่คิดว่าลวี่เทาจะเล่าเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ให้คนนอกฟัง เช่นนั้นผู้เดียวที่รู้ว่าตัวเองมีปานในที่ลับนั้นก็มีเพียงแค่เหอฮวาที่คอยปรนนิบัติตัวเองเท่านั้น
ว่านซื่อไม่คิดว่าเหอฮวาจะขายตัวเองเช่นนี้
คาดไม่ถึงว่าจะเล่าเรื่องของตัวเองกับลวี่เทาให้คนอื่นฟัง ว่านซื่อกระโจนเข้าหาเหอฮวาด้วยความโกรธ ใช้เล็บที่แหลมคมคว้าเหอฮวาแล้วจิกลงไป
ทุกคนไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
การแสดงเพิ่งเริ่มขึ้น ว่านซื่อที่นุ่มนวลอ่อนหวานมาตลอด ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ ช่างน่าหวาดกลัวมาก
รอจนกระทั่งทุกคนตอบสนองขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงสตรีแผดเสียงจนทำให้ทุกคนตกใจ
อาโม่รีบร้อนเข้าไปอย่างรวดเร็ว พอดึงว่านซื่อออกห่างจากเหอฮวาได้ก็สายไปเสียแล้ว
ใบหน้าอันงดงามของเหอฮวาถูกเล็บที่แหลมคมของว่านซื่อข่วนจนเลือดอาบเต็มหน้า
ถ้าหากดีขึ้นแล้วตกสะเก็ด เกรงว่าใบหน้าก็ยังต้องมีตำหนิ
กู้เสี่ยวหวานเห็นรูปลักษณ์ในใจก็โอดครวญ แม่นางที่สะสวยถูกทำลายกลายเป็นเช่นนี้แล้ว
เหอฮวาแผดเสียงออกมาอย่างเจ็บปวด ร้องตะโกนไม่หยุดว่าใบหน้าของข้า ใบหน้าของข้า
เหอฮวาได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้ ไหนเลยจะยังทนต่อได้ ตัวเองมีความมั่นใจในใบหน้านี้ แต่หน้าดี ๆ กลับถูกทำลาย ในอนาคตตัวเองจะออกเรือนได้อย่างไร
เหอฮวานั้นให้ความสำคัญกับใบหน้ามาก เพียงแต่สตรียุคโบราณนั้นไม่มีใครที่ไม่ให้ความสำคัญกับใบหน้า
เดิมทีเหอฮวาก็มีความคิดมากมายต่อว่านซื่อ ตอนนี้ราวกับนางเสียสติ จึงก้าวออกไปหาว่านซื่อเพื่อคิดบัญชี “นังจิ้งจอกแก่ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาข่วนหน้าของข้า ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
เหอฮวาร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา อีกทั้งใช้แรงมากเช่นกัน ถ้าหากไม่มีคนของศาลาว่าการสองคนรั้งนางไว้ เกรงว่าว่านซื่อเองก็ต้องได้รับบาดเจ็บไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“แม่นางท่านนี้ เจ้าหาผิดคนแล้ว เจ้าคงไม่คิดว่าแม่นางผู้นี้เป็นผู้บอกข้าหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้นก็ผิดแล้ว” หลิวชิงซานกล่าวออกมาเหมือนกลัวว่าเหตุการณ์นั้นจะไม่สนุก ”ข้าสังเกตตอนสู้กันอย่างแนบชิดกัน จุ๊ ๆ ก็คิดถึงฉากนั้นขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีที่งดงามอบอุ่นอ่อนโยนราวกับดอกไม้นั้น ยามอยู่บนเตียงจะเร้าร้อนเช่นนี้ ทำให้ข้ามองเช่นเดิมไม่ได้จริง ๆ ยังมีใต้เท้าลวี่อีก แม้ว่าอายุจะมากแล้วแต่ความยิ่งใหญ่นั้นกลับไม่ลดลงเลย”
อะไรนะ
การต่อสู้กันอย่างแนบชิด
เขาเห็นตัวเองทำเรื่องนั้นอยู่บนเตียง
ว่านซื่อเห็นสีหน้าหลิวชิงซานดูมีแรงปรารถนา ถ้าหากไม่ใช่ว่าตัวเองยังมีความอดทนและยังต้องปกปิดความผิด ว่านซื่อเองก็แทบอยากจะเป็นลมให้แล้วไป
คำพูดของหลิวชิงซานทำให้ทุกคนมองมาที่ตัวเองอย่างมีเจตนาไม่ดี และยังมีคนของศาลาว่าการที่ราวกับอยากจะตรวจสอบว่าเรื่องที่หลิวชิงซานกล่าวนั้นจริงหรือไม่ สายตานั้นเหลือบมองที่ขาของว่านซื่อคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ใบหน้าของว่านซื่อแดงขึ้นทันทีแต่ก็ทนต่อไป คำพูดของเหอฮวาจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของตัวเองกับลวี่เทาแน่นแฟ้นขึ้นไปอีก
“นังจิ้งจอกเฒ่า ล่อลวงใต้เท้า ช่างหน้าไม่อาย แก่แล้วยังจะมาล่อลวงใต้อีก เจ้ามันไร้ยางอาย” เหอฮวาไม่สนใจอะไรแล้ว เดิมทีก็มีความคิดมากมายต่อว่านซื่อ ตอนนี้ใบหน้าของตัวเองถูกนางข่วนเป็นรอยแล้ว จะไม่โกรธได้หรือ
“ท่านใต้เท้า ว่านซื่อเป็นคนเลว เป็นนางที่ล่อลวงใต้เท้า ล้วนเป็นนางทั้งสิ้น” เหอฮวาพูดจบ ยังไม่ลืมอธิบายให้ใต้เท้าจ้าวและเล่าให้ใต้เท้าลวี่เข้าใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างว่านซื่อและลวี่เทานั้นชัดเจนแล้ว ทั้งสองนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก
ใต้เท้าจ้าวมีสีหน้าไม่พอใจ “ใต้เท้าลวี่ เรื่องนี้หากถูกกัวฮูหยินรู้เข้า… ท่านก็รู้ว่าตระกูลกัวนั้นเป็นเช่นไร”
ลวี่เทากลัวจนต้องคุกเข่าลงทันทีแล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ใต้เท้า ล้วนเป็นสตรีผู้นี้ นางล่อลวงข้า ล้วนเป็นนางล่อลวงข้า ใต้เท้า ข้าทำผิดพลาดแล้ว บุรุษทุกคนล้วนทำผิดพลาดกันได้ ฮือฮือ”
ลวี่เทาร้องไห้ออกมาแล้ว อีกทั้งยังผลักความผิดทั้งหมดมาลงที่ว่านซื่อ