ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1270 ลวี่เทาโดนขอหย่า
บทที่ 1270 ลวี่เทาโดนขอหย่า
บทที่ 1270 ลวี่เทาโดนขอหย่า
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเทียนหมิงกล่าวแบบนั้น ใต้เท้าจ้าวจึงไม่สามารถปฏิเสธได้และเขาก็ไม่สามารถทำให้ตระกูลกัวเสียหน้าได้ ดังนั้นจึงเปิดจดหมายอีกครั้ง
ก่อนที่จะอ่านก็เหลือบมองไปทางลวี่เทาอีกครั้ง
ลวี่เทายืนอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นว่าใต้เท้าจ้าวมองมาที่ตัวเองด้วยความเห็นอกเห็นใจ ลวี่เทาก็ตกตะลึง จากนั้นก็ได้ยินใต้เท้าจ้าวเริ่มอ่านจดหมาย
แน่นอนว่าในจดหมาย ตระกูลกัวเขียนว่าลวี่เทาโดนขอหย่า
หลังจากอ่านจดหมายจบ ใต้เท้าจ้าวก็พับจดหมายและส่งคืนให้กับเซี่ยเทียนหมิงอีกครั้ง หากแต่ก็ยังอยากรู้ “พ่อบ้านเซี่ย ข้ามีสิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าใจ นายท่านกัวรู้ได้อย่างไรว่าลูกเขยสามของเขามีนางบำเรอ?”
ใช่แล้ว ตระกูลกัวอยู่ในเมืองหลวงและไม่เคยมาที่นี่ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าลวี่เทามีนางบำเรอ นอกจากนี้จดหมายฉบับนี้ยังมาทันเวลา
จากเมืองหลวงถึงเมืองหลิวเจียมีระยะทางที่ห่างไกลกันมาก เกรงว่าพ่อบ้านคงมาถึงที่นี่หลายวันแล้ว
พ่อบ้านเซี่ยหยิบจดหมายใส่ไว้ในแขนเสื้อและพูดว่า “แม้ว่านายท่านของข้าจะอยู่ในเมืองหลวง แต่ท้ายที่สุดแล้วคนผู้นั้นก็ยังเป็นลูกเขย ดังนั้นเขาจึงต้องใส่ใจเป็นธรรมดา”
ใส่ใจอะไรกันล่ะ
ว่านซื่อและลวี่เทาอยู่ด้วยกันมาหกหรือเจ็ดปีแล้ว แต่เขาเพิ่งค้นพบหรือ?
ใต้เท้าจ้าวไม่เชื่อในคำพูดของเซี่ยเทียนหมิง
หากต้องตัดหางลวี่เทาปล่อยวัดจริง ๆ ก็ควรมาที่นี่นานแล้ว แต่พวกเขากลับรอเวลามานานขนาดนี้เลยหรือ
ใต้เท้าจ้าวไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถามต่อไป
ลวี่เทาทรุดลงกับพื้น
เซี่ยเทียนหมิงมองลวี่เทาอย่างภาคภูมิใจราวกับกำลังมองดูเศษขยะ “นี่เป็นจดหมายขอหย่า จากนี้ไป ลวี่เทา ท่านไม่ได้เป็นลูกเขยของตระกูลกัวอีกต่อไป ทุกอย่างที่เป็นของตระกูลกัว ตระกูลกัวขอรับกลับไป ลวี่เทา ท่านดูแลตัวเองให้ดีล่ะ?”
หลังจากพูดเรื่องนี้แล้ว เซี่ยเทียนหมิงหันไปรอบ ๆ และโค้งคำนับใต้เท้าจ้าว “ใต้เท้าจ้าว นายท่านกำลังรอให้ข้ากลับไป ข้าขอตัวก่อน”
“พ่อบ้านเซี่ยจะกลับไปที่เมืองหลวงแล้วหรือ” ใต้เท้าจ้าวถามด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
เซี่ยเทียนหมิงเพิ่งจะมาถึงไม่ใช่หรือ หรือเขามาที่นี่ก็เพื่อแค่ส่งจดหมายหย่า?
ใบหน้าของใต้เท้าจ้าวและกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความสงสัย
เซี่ยเทียนหมิงจึงกล่าวว่า “นายท่านของข้าบอกว่า ถ้าลวี่เทาไม่ซื่อสัตย์กับตระกูลกัวก็ให้ส่งจดหมายหย่า และไม่ต้องพูดสิ่งใดให้มากความ”
มันเหมือนกับการทิ้งขยะ เมื่อโยนทิ้งไปแล้วก็จบ
กู้เสี่ยวหวานมองท่าทางผิดหวังของลวี่เทาที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนทรุดลงบนพื้น
ปากของเขาบ่นพึมพำ “จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
เขารู้ว่าตัวเองทำผิด แต่กลับโทษคนอื่น ลวี่เทาคนนี้ขาดคุณธรรม กรรมนั้นย่อมตามสนอง เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้รู้สึกสงสารลวี่เทาคนนี้เลย
หลังจากลวี่เทาหายสับสน เขาก็เริ่มร้องไห้อย่างขมขื่นและบอกว่าต้องการไปหานายท่านกัวและภรรยาของเขาเพื่ออธิบายให้พวกเขาเข้าใจ แต่เซี่ยเทียนหมิงไม่สนใจและยกเท้าเตะเขาไปด้านข้าง
จากนั้นก็พูดกับใต้เท้าจ้าว “ใต้เท้าจ้าว นายท่านของข้ายังมีเรื่องที่ฝากข้ามาบอกท่าน ลวี่เทาไม่ได้เป็นลูกเขยของตระกูลกัวอีกต่อไป สิ่งที่เขากระทำจะได้รับการลงโทษอย่างไร ใต้เท้าได้โปรดพิจารณาตามสมควร และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลกัว”
ทันทีที่เซี่ยเทียนหมิงกล่าวจบ ใต้เท้าจ้าวส่งเสียงตอบรับและส่งเซี่ยเทียนหมิงกลับไปอย่างรวดเร็ว
ลวี่เทาร้องไห้อยู่ที่ด้านหลังและกำลังจะก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่ถูกเจ้าหน้าที่ดึงตัวไว้และกดลงบนพื้นอย่างแรง
ลวี่เทาไม่สามารถขยับตัวได้ ทำให้เขาไม่สามารถไล่ตามเซี่ยเทียนหมิงได้ เขาเห็นสถานะลูกเขยตระกูลกัวของตัวเองหายไปต่อหน้าต่อตา และไม่แน่ว่าหลังจากนี้อาจจะมีบทลงโทษรอเขาอยู่
ลวี่เทาคิดถึงสถานการณ์ในอนาคตก็รู้สึกหวาดกลัว
ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้ามากขึ้น และในที่สุดเขาก็ตะโกนว่า “นางผู้หญิงตัวเหม็น เจ้าทำให้ข้าไม่เหลืออะไรเลย นางผู้หญิงตัวเหม็น นังจิ้งจอก”
ลวี่เทาไม่รู้จะระบายความโกรธแค้นใส่ใครจึงเลือกระบายอารมณ์ใส่ว่านซื่อ
มีเพียงการตีโพยตีพายของลวี่เทาที่ด่าว่าว่านซื่อนั้นไร้ประโยชน์ และในขณะเดียวกัน นางก็เริ่มโต้ตอบลวี่เทา
พวกเขาสองคนต่างไม่มีใครยอมใคร เอาแต่ด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคายและไม่น่าฟังเป็นที่สุด
แม้แต่หลิวชิงซาน เมื่อเขาได้ยินเสียงด่ากันของลวี่เทาและว่านซื่อ เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไม่กี่วันที่ผ่านมาทั้งสองยังคงนอนกอดรักใคร่กันดี ทำไมตอนนี้พวกเขาถึงกลายเป็นศัตรูกันได้
ใต้เท้าจ้าวได้สติกลับมา เนื่องจากอาชญากรรมของลวี่เทา ลวี่เทาจึงถูกลงโทษสถานหนัก เขาขอให้เจ้าหน้าที่นำตัวลวี่เทาไปขังไว้ในห้องขัง
ลวี่เทารู้ว่าสถานการณ์ของตัวเองกำลังเลวร้ายลง จึงพูดเรื่องที่ตัวเองรู้เกี่ยวกับการกระทำที่อุกอาจของเหลยต้าเซิ่ง
เหลยต้าเซิ่งก็ไม่ใช่คนดี เขามีแหวนของหลี่ซื่อ และในบ้านของเหลยต้าเซิ่งก็มีผงชีซิงที่ยังไม่ได้รับการทำความสะอาด ในท้องของหลี่ซื่อก็พบผงชีซิง เมื่อเผชิญกับหลักฐานที่หักล้างไม่ได้ เหลยต้าเซิ่งจึงต้องยอมรับว่าตัวเองฆ่าหลี่ซื่อ
ปรากฏว่าหลี่ซื่อรู้เรื่องการตายของจูเหล่าเอ้อร์ และได้ใช้สิ่งนี้ข่มขู่เพื่อขอเงินจากเหลยต้าเซิ่ง
เหลยต้าเซิ่งไม่สามารถถูกรบกวนไปได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าหลี่ซื่อไม่มีพ่อแม่และไม่มีญาติ เขาเพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากห้องขัง น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ และแม้ว่าเขาจะตายก็คงไม่มีใครรู้
มันเป็นเพียงการหายตัวไปของคนอันธพาล จะมีใครสนใจได้อย่างไร
ดังนั้นเขาจึงรินชาหนึ่งถ้วยที่มีผงชีซิงอยู่ในนั้น หลังจากหลี่ซื่อดื่มเข้าไป และเพื่อทำลายหลักฐาน จึงลากศพของหลี่ซื่อไปยังแม่น้ำและผูกหินไว้กับศพก่อนจะโยนให้จมลงไปในที่ด้านล่าง
เช่นนี้ศพของเขาก็จะไม่ลอยขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้น ร่างกายของหลี่ซื่อก็จะกลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำ เมื่อเหลือเพียงกระดูก ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้คือหลี่ซื่อ?
เหลยต้าเซิ่งคิดแผนการมาอย่างดี และทำทุกอย่างอย่างแนบเนียน แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามความคิด คนที่ไปว่ายน้ำนำศพของหลี่ซื่อขึ้นมา
เมื่อได้ยินว่าร่างของหลี่ซื่อถูกค้นพบ เหลยต้าเซิ่งก็รู้สึกตื่นตระหนก มือของเขาฆ่าคนไปสองคนติดต่อกัน ดังนั้นเหลยต้าเซิ่งจึงไม่กล้าพูดอะไร รีบเก็บกระเป๋าและเตรียมที่จะหนี
แม้เขาจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่กู้เสี่ยวหวานนั้นเร็วกว่า
เมื่อมีหลักฐานมัดตัว เหลยต้าเซิ่งจึงได้แต่ยอมรับว่าเขาให้ผงชีซิงแทนยาระบายกับกู้ฉวนลู่ จุดประสงค์คือเพื่อให้กู้เสี่ยวหวานต้องทนทุกข์ทรมาน
เหลยต้าเซิ่งฆ่าคนถึงสองคน เพียงรอการดำเนินการเอกสารทั้งหมดและหลังจากรายงานผู้บังคับบัญชาแล้ว เขาจะถูกประหารชีวิต
แม้ว่ากู้ฉวนลู่และหลิวชิงซานจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นถูกแทนที่ด้วยยาพิษของเหลยต้าเซิ่ง แต่นั่นก็เป็นเพราะความคิดที่ไม่ดีของกู้ฉวนลู่
กู้ฉวนลู่ไม่สามารถหลบหนีการลงโทษได้ ใต้เท้าจ้าวตัดสินให้เขาถูกขังครึ่งปี ส่วนหลิวชิงซาน แม้ว่าจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขาก็เป็นคนวางยา ถึงจะไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง ทว่าก็ต้องถูกขังเป็นเวลาห้าเดือน
หลังจากประสบเหตุการณ์นี้ ว่านซื่อก็รู้สึกเศร้ามากขึ้น นางต้องการฆ่าตัวตาย แต่ถูกเจ้าหน้าที่หยุดไว้
ว่านซื่อรู้สึกสิ้นหวัง แต่เดิมนางคิดว่าตัวเองได้พบชายคนหนึ่งที่สามารถพึ่งพาได้ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเป็นคนขี้ขลาดและหนีไปเมื่อเผชิญกับหายนะ
ตอนดีก็ดี
เมื่อไม่ดีก็ลากอีกฝ่ายออกไปตายแทนตัวเอง
ว่านซื่อร้องไห้ฟูมฟาย แต่เหอฮวาเอาแต่ด่าทอว่านซื่อ นางพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับลวี่เทาและต้องการให้ว่านซื่อออกมาจากเงาของลวี่เทาโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงประเภทนี้ที่เคยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของผู้ชาย ในอดีตนางพึ่งพาเหมียวเอ้อร์ และต่อมาก็คือลวี่เทา นางไม่เคยได้รับความทุกข์ยากของชีวิต ตอนนี้ชีวิตอันสุขสบายของนางจบสิ้นลงแล้ว นางจะทำอย่างไรต่อไป
ในอนาคต ถ้าลูกสองคนของนางรู้ว่า แม่ของตนติดตามคนอื่นหลังจากที่พ่อของตัวเองตาย เกรงว่าพวกเขาจะเกลียดว่านซื่อเข้ากระดูก
เหอฮวาและว่านซื่อไม่ได้มีความผิดในเรื่องนี้ หลังจากพวกนางเดินออกไป กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะยังคงได้ยินเสียงร้องของว่านซื่อ
หากปราศจากลวี่เทา สวรรค์จะให้นางมีชีวิตอยู่อย่างไรในอนาคต
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจต่อว่านซื่อแม้แต่เล็กน้อย นางรู้ว่าฉินเย่จือยังคงอยู่ในห้องขัง นางจึงไปที่ห้องขังอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาตัวฉินเย่จือ
ฉินเย่จือยังคงอยู่ในห้องคุมขัง เมื่อกู้เสี่ยวหวานเข้ามาและเห็นว่าฉินเย่จือกำลังหลับตาพักผ่อน มือของเขาห้อยอยู่บนโซ่เหล็กโดยที่นิ้วเท้าลอยขึ้นจากพื้น
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ฉินเย่จือก็ซูบผอมลง ดูเหมือนว่าเขาคงจะได้รับความทรมานไม่น้อย
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน ฉินเย่จือก็ลืมตาขึ้นและเห็นกู้เสี่ยวหวานรีบวิ่งเข้ามาอย่างมีความสุข ฉินเย่จือคลี่ยิ้ม มองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างเสน่หาและพูดเบา ๆ ว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว”
ดวงตาของฉินเย่จือสว่างสดใส ในห้องสอบสวนที่มืดสลัวนี้ ดูเหมือนจะมีแสงสว่างส่องแสงไปที่ร่างกายของกู้เสี่ยวหวาน มันมีทั้งความอบอุ่นและความปวดใจ “พี่เย่จือ”
เขาไม่ได้ยินเสียงของกู้เสี่ยวหวานเป็นเวลาหลายวันแล้ว และน้ำเสียงที่ดูนุ่มนวลนั้นทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจทั้งหมดที่ฉินเย่จือรู้สึกในห้องขังพลันหายไปทันที