ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1283 ไปทำหน้าที่เป็นแม่สื่อ
บทที่ 1283 ไปทำหน้าที่เป็นแม่สื่อ
บทที่ 1283 ไปทำหน้าที่เป็นแม่สื่อ
“ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงาน พรุ่งนี้ข้าก็จะไม่ไป” ป้าจางรู้ดีว่าลูกชายของตนเองเป็นคนเช่นไร แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพูด หากแต่ก็เป็นคนคิดมาก ถ้าเขาตัดสินใจบางอย่างแล้ว วัวสิบตัวก็ไม่สามารถฉุดรั้งเปลี่ยนใจเขาได้
ป้าจางกังวลว่าฉือโถวจะไม่เห็นด้วย วันนี้ต่อหน้าภรรยาของหลิวต้าจ้วง ป้าจางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรามฉือโถว เขาคือลูกชายของตน และก็รู้ว่าฉือโถวจะไม่พูดอะไรต่อหน้าคนนอก
และฉือโถวก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนที่นางคิดไว้
เขาเป็นลูกชายของนาง และนางทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูเขามาหลายปี นางรู้ทุกอย่างในใจของเขาเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเหมือนจุดหมายที่ไม่มีวันไปถึงได้
“ฉือโถว ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร แต่ข้าอยากบอกเจ้าว่าเราไม่ดีพอ” ป้าจางพูดขึ้น
ใช่… เราไม่คู่ควร
ป้าจางรู้… แม้ว่าครอบครัวจางและครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานจะอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขาเมื่อเวลาผ่านไป คูน้ำสายเล็กระหว่างสองตระกูลตอนนี้ค่อย ๆ กลายเป็นกลายเป็นลำธาร ยิ่งไปกว่านั้น ระยะทางนี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จนพวกเขาไม่สามารถไล่ตามทันได้
“ในอดีต ข้าคงจะไปที่ตระกูลกู้เพื่อสู่ขอนางให้เจ้าแน่นอน เสี่ยวหวานเป็นเด็กกตัญญูและมีเหตุผล ถ้าใครได้แต่งงานกับนาง มันก็คงจะเป็นพรจากชาติที่แล้ว ก่อนหน้านี้เมื่อเจ้ายังเด็ก ข้าก็มีความคิดนั้นอยู่ในใจ แต่แค่อยากรอให้นางโตอีกหน่อย เสี่ยวหวานสนิทกับครอบครัวเราอยู่แล้ว ถ้านางกลายเป็นสะใภ้ของครอบครัวเรา พวกเราก็จะสนิทสนมกันมากขึ้นไม่ใช่หรือ แต่ใครจะรู้ล่ะฉือโถว ข้าบอกเจ้าไปแล้ว เสี่ยวหวานไม่ใช่คนที่เราคู่ควร” ป้าจางพูดด้วยอารมณ์เศร้าหมอง
ในวันนี้กู้เสี่ยวหวานเป็นเหมือนดวงดาวบนฟากฟ้า เสน่ห์ของนางนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้
“ไม่ต้องพูดถึงเมืองหลิวเจีย ข้าเกรงว่าทั่วทั้งเมืองรุ่ยเสียนคงจะหาใครเทียบเสี่ยวหวานไม่ได้” ป้าจางพูดต่อว่า “เสี่ยวฉินคนนั้น แม้ว่าครอบครัวของเขาจะล่มสลาย แต่เขาก็มาจากตระกูลบัณฑิต เมื่อวันที่เสี่ยวหวานถึงวัยปักปิ่น ของขวัญยาวสิบลี้ในวันนั้นอย่างที่เจ้าเห็น มันมีมากมายมหาศาล เกรงว่าแม้แต่ครอบครัวที่ร่ำรวยในเมืองรุ่ยเสียนก็จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่อพวกเขาแต่งงาน เราไม่ควรมองข้ามภูมิหลังของเสี่ยวฉิน แม้ว่าจะมีปริศนามากมายเกี่ยวกับเสี่ยวฉินที่เราไม่รู้ แต่เขาใจดีกับเสี่ยวหวาน ช่วยเสี่ยวหวานมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่คิดถึงชีวิตของตัวเอง เพราะเหตุนี้ ข้าไม่แปลกใจเลยที่เสี่ยวหวานจะชอบเขา” ป้าจางพูดตามความเป็นจริง
“เสี่ยวหวานมีคนที่นางชอบอยู่ในใจแล้ว แม้ว่าจะไม่มีเสี่ยวฉิน เราก็ไม่คู่ควรกับนาง ฉือโถว เจ้าเข้าใจไหม ที่ข้าไปพูดคุยเรื่องการแต่งงานให้เจ้าในครั้งนี้ แม้ว่าครอบครัวฟ่านของนางจะยากจนไปหน่อย แต่นางเป็นคนซื่อสัตย์ ขยันขันแข็งและมีจิตใจดี ผู้หญิงแบบนี้สามารถใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ด้วยได้ เข้าใจหรือไม่”
ในตอนท้ายของคำพูดของป้าจาง นางหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้า “ฉือโถว เจ้ายังเด็ก เจ้าเองก็รู้เรื่องสุขภาพของพ่อเจ้าดี เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวก ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่บ้านทั้งวัน ถ้าเจ้าแต่งงานและมีลูก พ่อของเจ้าก็จะมีอะไรทำใช่ไหมล่ะ”
“ท่านแม่” ในที่สุดฉือโถวก็เปิดปาก ดวงดาวบนท้องฟ้าสว่างไสวจนสายตาของเขาพร่ามัว ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดตาแล้วพูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ข้ารู้ พรุ่งนี้ท่านไปที่บ้านตระกูลฟ่านเพื่อคุยเรื่องแต่งงานให้ข้าเถอะ”
นางไม่คาดคิดว่าฉือโถวจะตอบตกลงเร็วขนาดนี้ และมันทำให้ป้าจางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าฉือโถวปิดตา นางก็ไม่พูดอะไรต่อ ตอนนี้เสียงของเขาก็เบาลงเรื่อย ๆ และเมื่อมองไปที่หางตาของเขา ดูเหมือนจะมีน้ำตาไหลออกมา ป้าจางถอนหายใจยาว “หากเจ้าเข้าใจ ข้าก็วางใจ ตอนนี้อากาศเย็นมากแล้ว พวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะ”
ป้าจางไม่รอคำตอบของฉือโถวก็หมุนกายและออกไปทันใด
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็หันกลับไปมองด้วยความไม่สบายใจ และเห็นว่าลูกชายของตนเองยังคงนอนอยู่ที่นั่นเช่นเดิม
เขาเอามือปิดตานิ่งไม่ขยับเขยื้อน
หากไม่ได้เห็นร่างกายที่สั่นเทาของเขา ป้าจางคงคิดว่าเขาคงหลับไปแล้วจริง ๆ
ป้าจางถอนหายใจ แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันหลังกลับและมุ่งหน้ากลับบ้าน แค่ปล่อยให้เขาร้องไห้ครั้งเดียว หลังร้องไห้ก็คงลืมสิ่งที่ควรลืม ระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นไม่สามารถตามทันได้มานานแล้ว
สายลมยามค่ำคืนเย็นเล็กน้อย และเสียงคร่ำครวญของฉือโถวถูกกลบด้วยเสียงของแม่น้ำที่ไหลริน
ในวันที่สองตอนเช้าตรู่ กู้เสี่ยวหวานตื่นแต่เช้าและขอให้อาจั่วนำของที่นางซื้อจากร้านขายเครื่องประดับเมื่อวานนี้และผ้าสามผืนออกมา
กู้เสี่ยวหวานเป็นคนช่างคิด ผ้าสามผืนสำหรับครอบครัวฟ่าน มันเป็นผ้าคนละผืนสำหรับแต่ละคน
เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาออกไป ป้าจางได้เก็บข้าวของที่ห้องโถงแล้วและขอให้กู้ฟางสี่นำไปด้วย
กู้หนิงผิงออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้ และฉินเย่จือไปที่เมืองรุ่ยเสียน
กู้เสี่ยวอี้มองไปที่หลายสิ่งหลายอย่างในห้องโถงและถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ท่านป้า ท่านป้า ทำไมเตรียมของเยอะเช่นนี้ ที่บ้านมีงานอะไรน่ายินดีหรือ”
กู้เสี่ยวอี้ไม่รู้ว่าป้าจางกำลังจะไปขอสู่ขอภรรยาให้ฉือโถว ดังนั้นนางจึงถาม
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ กู้ฟางสี่ยิ้มและลูบศีรษะของกู้เสี่ยวอี้แล้วพูดว่า “มันเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง”
“เรื่องอะไรกันเจ้าคะ” กู้เสี่ยวอี้อยากรู้อยากเห็น
“พี่ชายของเจ้า ฉือโถวกำลังจะไปคุยเรื่องแต่งงาน” กู้ฟางสี่ลดเสียงและพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากกู้เสี่ยวอี้ได้ยิน ดวงตาของนางก็เบิกกว้างและพูดอย่างตื่นเต้น “พี่ฉือโถวกำลังจะแต่งงานจริง ๆ หรือ”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานและอาจั่วเข้าไปในห้องโถง พวกเขาก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นของเสี่ยวอี้
ฉือโถวเข้ามาจากอีกด้านและได้ยินเสียงของกู้เสี่ยวอี้พอดี
เมื่อเขาเดินเข้าไปก็เห็นว่ากู้เสี่ยวหวานอยู่ในชุดสีชมพู เสื้อผ้าธรรมดา ๆ ไม่มีรายละเอียดซับซ้อนมากเกินไป และวัสดุของเสื้อผ้าก็ธรรมดามากซึ่งคนทั่วไปสามารถซื้อได้
นางยังมวยผมอย่างเรียบง่ายและปักปิ่นปักผมไม้แกะสลักรูปดอกเหมย
กู้เสี่ยวหวานปักผมด้วยปิ่นปักผมไม้แกะสลักรูปดอกเหมยบนศีรษะของนางเสมอ
ฉือโถวรู้ที่มาของปิ่นปักผมดอกเหมยดี เขาได้ยินว่าฉินเย่จือเป็นคนแกะสลักมันเองและมอบให้กับเสี่ยวหวาน
ในเวลาต่อมา เสี่ยวหวานมีปิ่นหยกเพิ่มมาอันหนึ่ง ไม่ว่ามันจะมีค่าและสวยงามเพียงใด ก็ไม่สามารถเทียบได้กับปิ่นดอกเหมยอันนี้
ปิ่นดอกเหมยนั้นจะถูกปักอยู่บนผมของนางเสมอ
เป็นเหมือนกับการบอกคนอื่นว่า ฉินเย่จืออยู่ในใจนางเสมอ
การแสดงออกของฉือโถวดูมืดมนเล็กน้อย เขาก้มศีรษะลง ซ่อนอารมณ์ไว้ในดวงตาและเดินเข้าไปในห้องโถง
ป้าจางมองเสื้อผ้าของกู้เสี่ยวหวานในวันนี้และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เสื้อผ้าที่กู้เสี่ยวหวานสวมใส่นั้นธรรมดาจนไม่สามารถธรรมดาไปได้มากกว่านี้ แม้แต่เด็กผู้หญิงจากครอบครัวธรรมดาก็สามารถสวมใส่ได้ แม้ว่าชุดจะธรรมดามาก แต่ก็สะอาดสะอ้านและเหมาะสม
ป้าจางรู้สึกประหลาดใจที่เห็นกู้เสี่ยวหวานแต่งตัวเรียบง่ายเช่นนี้ แต่เมื่อคิดถึงบ้านที่พวกเขากำลังจะไปในวันนี้ หัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว
ฉือโถวก้าวไปข้างหน้าและยกของขึ้นบนไหล่ ป้าจางเห็นจึงรีบบอกเขาว่า “เจ้าระวังหน่อย วางไว้บนรถม้าก็พอแล้ว”
ฉือโถวก้มศีรษะเพื่อตอบรับ จากนั้นยกของไปที่รถม้า
กู้เสี่ยวอี้หยุดหัวเราะ และเมื่อเห็นว่าฉือโถวหายไป นางจึงดึงแขนเสื้อของป้าจางไม่ปล่อยเหมือนเด็กขี้สงสัยและถามทุกสิ่ง “ท่านป้า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ข้าเคยเจอมาก่อนไหม?”
เมื่อป้าจางตอบคำถามที่อยากรู้ทีละประโยค กู้เสี่ยวอี้ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก
นางไม่เคยเห็นใครมาที่บ้านเพื่อขอแต่งงาน แต่นางเคยเห็นแม่สื่อแต่งตัวสีฉูดฉาดมาที่บ้านสองสามครั้ง แต่ก็ถูกครอบครัวไล่กลับไปก่อนที่นางจะออกมา
ครั้งนี้ครอบครัวของนางกำลังเป็นฝ่ายไปสู่ขอ โอกาสที่หายากเช่นนี้ นางต้องไปดูให้ได้
“ท่านป้า ท่านพาข้าไปด้วยได้ไหม” กู้เสี่ยวอี้พูดน้ำเสียงออดอ้อน
ป้าจางตอบว่า “เสี่ยวอี้ ครั้งนี้ข้าไม่ได้ไป”
“ทำไมท่านถึงไม่ไป” ในขณะที่ถาม นางก็วิ่งไปที่ด้านข้างของกู้ฟางสี่ แล้วถามว่า “ท่านอา ท่านไปไหม”
กู้ฟางสี่พยักหน้า “พี่ฉือโถวของเจ้าต้องแต่งงาน คนที่ไปสู่ขอต้องไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว ท่านป้าของเจ้าจึงไม่ไป แต่ข้ากับพี่สาวเจ้าจะไปแทน”
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นก็พาข้าไปด้วยสิ” นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวอี้รู้อยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงต้องดูให้ดีว่าการเป็นแม่สื่อเป็นอย่างไร
กู้เสี่ยวอี้ดูตื่นเต้นและเงยหน้าขึ้นรอให้กู้ฟางสี่พยักหน้าเห็นด้วย
ในวันนี้กู้เสี่ยวหวานสวมชุดสีชมพู เมื่อนางเดิน แขนเสื้อก็จะปลิวไปตามลมและยังสามารถมองเห็นลวดลายสีเข้มได้ เมื่อมองแวบแรกก็รู้ได้ว่ามีราคาแพง
กู้เสี่ยวอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่สาวของนางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ๆ ซึ่งแตกต่างจากปกติอย่างสิ้นเชิง
กู้ฟางสี่นิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นแทน “วันนี้เจ้าไปไม่ได้”
“ทำไม?” กู้เสี่ยวอี้ไม่รู้กฎของการสู่ขอ ดังนั้นนางจึงทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ
“เจ้าเด็กโง่ วันนี้เราแค่ไปคุยกันเรื่องการจับคู่ ไม่ใช่สู่ขอ” กู้ฟางสี่รีบพูด “ถ้าบรรลุข้อตกลงแล้ว ค่อยว่ากันใหม่”