ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1292 ความใกล้ชิดสนิทสนมของคนสองคน
บทที่ 1292 ความใกล้ชิดสนิทสนมของคนสองคน
หลังจากปิดประตูห้อง เสียงข้างนอกก็ถูกตัดขาด และทั้งห้องก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน
เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง ฉินเย่จือวางหนังสือลง ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นกู้เสี่ยวหวานเดินเข้ามาหาตนเองด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
ฉินเย่จือยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน มองหญิงสาวที่เดินเข้ามาด้วยสายตาที่รักใคร่ทะนุถนอม
รูปร่างอรชรและรอยยิ้มนั้นวนเวียนอยู่ในหัวใจของเขาอย่างไม่อาจสลัดทิ้งไปได้
แม้การไปเมืองหลวงครั้งนี้จะใช้เวลาไม่นาน แต่หัวใจของเขาคะนึงหานางเสมอ คิดว่าหลังจากทำงานเสร็จจะรีบกลับมาเร็ว ๆ และในใจก็ยังมีอีกความคิดหนึ่งคือ เขาอยากเอาผูกนางติดไว้ข้างกาย ตัวเองไปที่ไหน นางก็ไปที่นั่นด้วย
ครั้นฉินเย่จือคิดได้แบบนนี้ก็เชิดหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ กางแขนออกรอให้กู้เสี่ยวหวานโผเข้าอ้อมกอดของตนเอง
เมื่อเห็นการกระทำของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะออกมาเบา ๆ และก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ฉินเย่จือเห็นนางเข้ามาใกล้ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปดึงกู้เสี่ยวหวานเข้ามาในอ้อมแขน
กลิ่นหอมละมุนที่คุ้นเคยจากชายหนุ่มลอยมาเตะที่ปลายจมูก ทำให้นางรู้สึกสงบและมีความสุข
ศีรษะของกู้เสี่ยวหวานซบลงที่อ้อมกอดของฉินเย่จือ เหมือนกับลูกแมวน้อยออดอ้อนเจ้าของ
ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขน หัวใจที่ว่างเปล่าถูกเติมเต็ม ไม่มีความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับผลได้ผลเสียอีกต่อไป
ในช่วงเวลานี้ ลูกแมวตัวนี้ยุ่งมากจริง ๆ ยุ่งกับการเริ่มกิจการใหม่ ยุ่งกับการแต่งงานของฉือโถว ออกไปตอนแต่เช้าทุกวัน กว่าจะกลับมาถึงบ้านท้องฟ้าก็มืดสนิท บางครั้งได้เพียงพูดสองประโยคเหมือนแมวขี้เกียจ หัวถึงหมอนก็หลับไปทันที เห็นนางทำงานหนักขนาดนี้ ฉินเย่จือก็อยากให้นางพักผ่อนมาก ๆ
ยากมากที่ฉินเย่จือจะมีโอกาสได้กอดนางแบบนี้ แล้วเขาจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร
ฉินเย่จือก้มลงดมกลิ่นหอมอันคุ้นเคยในอ้อมกอด ซึ่งทำให้จิตใจผ่อนคลาย
“หวานเอ๋อร์” น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเอ่ยออกมาด้วยความอยากลำบาก ในตอนนี้ความรักมันมากล้นจะเอ่อทะลักออกมา ริมฝีปากบางยกขึ้นอย่างมีเสน่ห์
กู้เสี่ยวหวานจมอยู่ในอกกว้าง รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของคนที่โอบกอดไว้ ปลายจมูกยังได้กลิ่นอันหอมละมุนที่แสนคุ้นเคย
นี่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของฉินเย่จือ กลิ่นที่ทำให้นางเคลิบเคลิ้มและหลงใหล “อืม พี่เย่จือ”
นางตอบกลับมาสั้น ๆ โดยไม่พูดอะไรมาก เช่นเดียวกับเขาที่แค่เรียกชื่อตนเองแล้วก็เงียบไป เพียงแค่การขยับมือก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกของนางในขณะนั้น
มือของนางโอบกอดร่างกายของฉินเย่จือแน่น ออกแรงกระชับกอดมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าต้องการฝังตัวเองเข้าไปในอกของเขา
“หวานเอ๋อร์ คิดถึงข้าบ้างไหม” เขาไปเมืองหลวงเป็นระยเวลาหนึ่งเดือน สวรรค์รับรู้ว่าเขาต้องคิดถึงนางจนเข้ากระดูกดำ
“อืม” กู้เสี่ยวหวานตอบรับเจ้าของอ้อมกอดด้วยเสียงแผ่วเบา หลังพูดจบใบหน้าก็สีแดงระเรื่อขึ้นมาเหมือนกับทิวทัศน์ในเดือนสาม ดอกท้อสีชมพูแพรวพราวละลานตาเต็มท้องฟ้านั้น ไม่มีอะไรทำให้เตะตามากกว่านี้อีกแล้ว ตราตรึงในหัวใจไปจนชั่วชีวิต
คำตอบของกู้เสี่ยวหวานทำให้ฉินเย่จือตกใจมาก นางคิดถึงเขาเหมือนกับที่เขาคิดถึงนาง
ความเจ็บปวดจากภายในที่ยากจะแก้ไข
หวังเพียงให้หัวใจเจ้าอยู่กับข้า เหมือนใจข้าที่อยู่กับเจ้า ไม่ให้ความรักลดน้อยลง
หัวใจของเขาแทบจะกระเด็นออกมาจากอก
เขาก้มหน้าลงแล้วคลี่ยิ้ม เสียงที่แผ่วเบาเหมือนสายลมที่อบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ พร้อมกลิ่นหอมชวนหลงใหล “หัวใจของข้าเต้นเร็วมากใช่ไหม”
เต้นเร็วมาก
เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นเร็วและแรงครั้งแล้วครั้งเล่า
นางคลอเคลียอยู่ที่หน้าอกของเขา ใกล้ขนาดนั้น เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงเหมือนกับมีคนตีกลองอยู่ภายในอก
ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะตอบ คางของนางถูกเชยขึ้นเบา ๆ ฉินเย่จือขยับหน้าเข้ามาใกล้ รอให้นางขยับริมฝีปากสีแดงนั้นและก้มลงไปประกบริมฝีปากที่อ่อนนุ่มนั้น
รอมาหนึ่งเดือน ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน
ที่นี่เป็นร้านอาหาร ตอนนางเข้ามาแค่ปิดประตูเบา ๆ หากแต่ไม่ได้ลงกลอน นางเกรงว่าถ้ามีคนเข้ามาจะทำอย่างไร
ความคิดถึงแปรเปลี่ยนเป็นความปรารถนาที่จะใกล้ชิด
ฉินเย่จือคิดถึงวันที่จะได้อยู่กับนางทั้งวันทั้งคืน คิดถึงริมฝีปากที่อ่อนนุ่ม กี่คืนแล้วที่คิดถึงแทบบ้า
เขาถอนหายใจอย่างพึงพอใจ สอดลิ้นเข้าไปในปากของกู้เสี่ยวหวานคล้ายสำรวจหาสิ่งของล้ำค่าแล้วผละออกมา แล้วทำเช่นนั้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
กู้เสี่ยวหวานกังวลว่าจะมีใครพรวดพลาดเข้ามา เรี่ยวแรงของนางหายไปกับจูบที่รุนแรงนี้
นางยื่นมือออกไปคล้องคอฉินเย่จือให้โน้มลงมาใกล้ชิดกับตัวเองมากขึ้น
ความใกล้ชิดของทั้งสองคนกับจูบที่เร่าร้อนอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ผละออกจากริมฝีปากนั้นอย่างไม่เต็มใจและมองไปที่ริมฝีปากสีแดงสดของกู้เสี่ยวหวาน เขาคิดว่าปากของนางคงจะแตกหากเขายังจูบนางอยู่เช่นนี้จึงได้ยอมแพ้
“หวานเอ๋อร์” ฉินเย่จือก้มลงมากระซิบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและความรัก “หวานเอ๋อร์ ข้ารักเจ้า”
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกสับสน น้ำเสียงสั่น เมื่อกำลังจะเอ่ยบางสิ่งก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางประตู
กู้เสี่ยวหวานตกใจมากจนลุกขึ้นนั่ง
ความต้องการเมื่อครู่หายไปแล้ว เนื่องจากถูกขัดจังหวะ ความโกรธฉายชัดในแววตาของฉินเย่จืออย่างไม่สามารถปกปิดได้
ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ขยับ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “เถ้าแก่ เถ้าแก่ มีคนก่อเรื่อง”
ฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานมองหน้ากัน จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเดินไปที่ประตู
ลูกจ้างที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่มีสีหน้ากังวล เมื่อเห็นประตูถูกเปิดก็รีบพูดว่า “เถ้าแก่ มีผู้หญิงสองคนมาที่ประตู บอกว่าต้องการพบท่าน”
ผู้หญิงสองคน
ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานกำลังคิดว่าเป็นใครก็ได้ยินเสียงดังมาจากนอกร้าน “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าต้องไม่ตายดี เจ้าส่งลุงของตัวเองเข้าคุก เจ้าอยู่ที่นี่กินดีอยู่ดี บังคับให้ลุงของเจ้าไปตายอยู่ในคุก เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่”
เสียงคุ้น ๆ ถ้าไม่ใช่ซุนซีเอ๋อร์แล้วยังจะเป็นใครได้อีก
นางมาทำอะไร
“เถ้าแก่ คนผู้นี้มาร้องไห้โวยวายที่ประตู ปากนางเอาแต่สาปแช่ง” แม้ว่าลูกจ้างผู้นี้จะมาจากครอบครัวที่ยากจน ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้มากนัก แต่กลับไม่เคยใช้ถ้อยคำหยาบโลน แม้จะด่าก็เป็นคำที่ได้ยินกันทั่วไป
แต่ผู้หญิงคนนั้นที่ประตู นางสวมผ้าไหม แต่งตัวดูดี แต่คำที่ออกมาจากปากทำไมถึงไม่น่าฟังเช่นนี้
“นางด่าอะไร” กู้เสี่ยวหวานตะคอกอย่างเย็นชา
ลูกจ้างคนนี้เพิ่งมาทำงานที่ร้านจิ่นฝูวันแรก ยังไม่รู้นิสัยของกู้เสี่ยวหวาน ครั้นเห็นหน้าใบหน้าเย็นชา ก็คิดว่านางกำลังโกรธตัวเองก็หวาดกลัวจนไม่กล้าหายใจและพูดออกมา
การทำงานที่ร้านจิ่นฝูเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน มีค่าตอบแทนที่ดีและยังมีเสื้อผ้าใส่ วันหยุด เงินพิเศษ จะมีสักกี่คนที่ได้เข้ามา ถ้าไม่ใช่เพราะบางคนหักหลังเจ้าของร้านแล้วถูกนางไล่ออกไป ไม่งั้นเขาจะมีโอกาสเข้ามาได้อย่างไรล่ะ
เขารู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าตอบ “เถ้าแก่ นาง… นาง…”
นานมากแล้ว ทว่านางก็ยังพูดไม่จบประโยค
“กู้เสี่ยวหวาน เจ้ามันหน้าไม่อาย เป็นถึงเสี้ยนจู่ เจ้าบินขึ้นไปได้ไม่ใช่เพราะหน้าตาใช่ไหม”
ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานแปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย ก่อนที่จะขยับก็เห็นร่างหนึ่งผ่านตาไป แล้วก็พบว่าฉินเย่จือหายไปในพริบตา
จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและคร่ำครวญมาจากประตูเหมือนผีร้องโหยหวน
กู้เสี่ยวหวานรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง เสียงเอะอะโวยวายข้างนอกกำลังดึงดูดความสนใจของแขกในร้าน บางคนวิ่งไปที่ประตูเพื่อดูความสนุก บางคนที่นั่งติดกับประตู ยืดคอออกไปดูข้างนอก