ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 13 ข้าวฟ่างกวน
บทที่ 13 ข้าวฟ่างกวน
บทที่ 13 ข้าวฟ่างกวน
กู้เสี่ยวหวานหยิบอ่างไม้และเทแป้งข้าวฟ่างทั้งหมดลงในถุงผ้า จนกระทั่งไม่เหลือตกค้างในกระสอบ กู้เสี่ยวหวานตบเบา ๆ อย่างไม่ลดละ เพราะดูเหมือนจะยังมีฝุ่นอยู่บ้าง
หลังจากที่น้ำในหม้อต้มด้านนอกเดือด กู้เสี่ยวหวานจึงตักแป้งข้าวฟ่างลงในหม้อทีละน้อยด้วยช้อนไม้แล้วคนต่อไป
เมื่อกำลังได้ที่ กู้เสี่ยวหวานก็พูดกับกู้หนิงอันว่า “หนิงอัน ไม่ต้องใส่ฟืนแล้วนะ”
กู้หนิงอันส่งเสียงในลำคอและวางฟืนที่เขากำลังจะใส่ลง ในเตายังมีไฟอยู่ และใช้ไม้ไผ่เป็นเชื้อเพลิงได้ เขาเขี่ยฟืนในเตาสองสามครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นและมาอยู่ข้าง ๆ กู้เสี่ยวหวาน
ในชีวิตก่อนหน้านี้ กู้เสี่ยวหวานเป็นคนที่รักในการกินอาหาร หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นนักชิม นางได้กินของอันโอชะจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งที่ยังบินอยู่ในท้องฟ้า ที่วิ่งบนพื้นดิน และที่แหวกว่ายในน้ำ นางไม่เพียงแต่ชิมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีทักษะการทำอาหารที่ดีอีกด้วย ในสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตร ยามว่าง ๆ กู้เสี่ยวหวานมักจะเชิญเพื่อน ๆ มารับประทานอาหารที่บ้านของนาง ซึ่งตัวนางเองเป็นคนทำอาหาร มันอร่อยเสียจนผู้คนจากสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรอยากจะกัดลิ้นของตนเข้าไปด้วย แม้ทักษะการทำอาหารของกู้เสี่ยวหวานจะยังไม่ครอบคลุมก็ตาม
เช่นเดียวกับตอนนี้ กู้หนิงอันจ้องมองกู้เสี่ยวหวานอย่างตะลึงงันในขณะที่พี่สาวจดจ่ออยู่กับการกวนข้าวฟ่าง โดยปกติเขาคิดว่าเขาสามารถทำได้ดีมากแล้ว แต่พออยู่ในมือของพี่สาว มันก็เหมือนกับอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญ ข้าวต้มในหม้อใสเป็นมันเงา แตกต่างจากที่เขาและกู้หนิงผิงทำเมื่อวานนี้อย่างสิ้นเชิง
เด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านพี่ เหตุใดข้าวฟ่างกวนที่พี่ทำวันนี้ดูดีจัง?”
ก่อนหน้านี้ที่กู้เสี่ยวหวานเคยทำ มันไม่ได้ดูน่ากินขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ!
หัวใจของกู้เสี่ยวหวานเต้นไม่เป็นจังหวะ ช้อนไม้ในมือของนางก็หยุดลงครู่หนึ่ง
ตอนนี้นางอายุได้แปดขวบแล้ว นางทำอาหารอร่อย ๆ ได้อย่างไร? แม้แป้งข้าวฟ่างนี้จะมีสภาพไม่ค่อยดีนัก แต่พี่น้องที่เคยกินข้าวฟ่างกวนสีคล้ำทำไมถึงจะไม่สงสัยล่ะ
อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตนางต้องกินข้าวฟ่างกวนดำ ๆ นางก็ไม่อยากกินมันเลย
กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “จริงหรือ? แต่มันก็ดีใช่หรือไม่? ข้าคิดว่ามันไม่ใช่แค่หน้าตาดี แต่มันน่าจะอร่อยด้วยนะ! เมื่อตอนที่ข้ายังสลบไม่ได้สติ ข้าฝันถึงเรื่องอาหารทุกชนิดเลยละ อยากกินแต่ทำไม่ได้ เลยพยายามดูว่าคนอื่นเขาทำกันอย่างไร และดูเหมือนว่าข้าจะทำได้แล้วนะ”
กู้หนิงอันครุ่นคิดเรื่องนี้แล้วก็เห็นด้วย ก่อนหน้านี้พี่สาวของเขาไม่เคยหยุดพักเลยตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่เคยได้นอนพักผ่อน นางยุ่งมาก และก็ยุ่งทุกวัน
พี่สาวต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารและแต่งตัวให้น้อง ๆ ต้มน้ำ ล้างหน้า แล้วก็กินข้าว เมื่อกินข้าวเสร็จก็ต้องขึ้นภูเขาไปเก็บฟืน กลับมาบ้านทำอาหารของมื้อกลางวัน กินข้าวเสร็จก็ต้องออกไปหาฟืนต่อ ไม่ได้หยุดพักเลย
กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองกู้หนิงอันที่กลับมาเป็นปกติ นางแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ต่อไปในภายหน้าหากการทำอาหารของนางดูแปลกพิกลไป นางก็ต้องมีเหตุผลมารองรับไว้
มือของกู้เสี่ยวหวานยังคงขยับต่อไม่หยุดนิ่ง เมื่อข้าวฟ่างใกล้จะสุก เด็กสาวก็หยิบเกลือโรยลงในหม้อ ยากจนแค่ไหนก็ขาดเกลือไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเกลือเป็นเครื่องปรุงรสที่สำคัญ อาหารจากภูเขาและทะเลจะไม่มีรสชาติเมื่อไม่มีเกลือ
แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเกลือ กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย อาหารมื้อแรกที่นางทำจึงเป็นอาหารแบบง่าย ๆ… หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ยอมแพ้ นางหยิบโถน้ำมันขึ้นมาแล้วนำเอากระดานไม้เล็ก ๆ ที่วางอยู่ออก จากนั้นก็คว่ำโถลงใส่ปากหม้อพร้อมกับเขย่า ดูเหมือนว่าสวรรค์จะยังเมตตาอยู่ เพราะมีน้ำมันสองหยดไหลออกมาจริง ๆ
แม้จะน้อยนิด แต่สำหรับครอบครัวนี้แล้วมันก็ทำให้อาหารมื้อนี้กลายเป็นมื้อที่อร่อย และสักพักก็มีกลิ่นน้ำมันงาหอม ๆ โชยมาจากในครัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกู้หนิงอันที่อยู่ใกล้ ๆ ได้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ท่านพี่ ท่านสุดยอดเลย มันหอมมาก!” เด็กน้อยกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่เชื่อ จึงปิดตาใช้จมูกดมกลิ่น และโอ้อวดว่าได้กลิ่นมันจริง ๆ
ในอีกหลายปีข้างหน้า หากกู้หนิงอันจะได้อยู่ในตำแหน่งสูงและมีอำนาจทั้งหมดในห้องพิจารณาคดี เขาอาจได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะทั้งหมดในโลก แต่ก็ต้องบอกว่าอาหารที่เขาโปรดปรานในชีวิตก็ยังคงเป็นอาหารมื้อแรกที่กู้เสี่ยวหวานปรุงให้พวกเขาหลังจากตื่นนอนนั่นแหละ
เป็นเพราะอาหารมื้อนั้น ชีวิตของกู้เสี่ยวหวานจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
กู้เสี่ยวหวานมองท่าทางเกินจริงของกู้หนิงอันด้วยรอยยิ้มอ่อนพลางใช้มือซ้ายลูบศีรษะของเขาเบา ๆ “เอาล่ะ ๆ ไปพาน้อง ๆ มาได้แล้ว ข้าจะไปตักน้ำมาไว้ให้”
“ขอรับท่านพี่!” กู้หนิงอันคอยดูแลอาการป่วยของพี่สาวจนในที่สุดนางก็หายดี และดูเหมือนจะมีพลังมากกว่าเมื่อก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เด็กชายไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า เขาคิดว่าพี่สาวมีความมั่นใจมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ไม่เพียงแต่สำหรับกู้เสี่ยวหวานเท่านั้น กู้หนิงอันเองก็ด้วย
หรือแม้กระทั่งสำหรับครอบครัวก็เช่นกัน
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีฝีมือทำอาหารถือว่ารอดตายแล้วหนึ่ง ถ้าให้ผู้แปลไปอยู่อย่างนั้นก็ไม่แน่ใจเลยว่าจะเอาตัวเองรอดได้ไหม แค่จุดไฟก็คือจุดกว่าจะติด
ไหหม่า(海馬)