ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1307 ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างสุดความสามารถ
บทที่ 1307 ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างสุดความสามารถ
รอจนกระทั่งกล่องไม้หวางฮวาหลีพวกนั้นเต็มห้องแล้ว กู้ฟางสี่นับแล้วก็มีสี่สิบแปดกล่อง นี่ยังไม่รวมของใช้ในบ้านอีก เช่น ของตกแต่งในห้องหอ เครื่องนอนบนเตียงบ่าวสาว และของอื่น ๆ อีกมากมาย
นี่หากยกออกไป เกรงว่าคนไม่รู้ตั้งเท่าไรจะต้องเบิกตาโพลง
ป้าจางมองแล้วก็ได้แต่ตกตะลึง “เสี่ยวหวานซื้อของมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร”
แม้แต่กู้ฟางสี่ที่เมื่อครู่นั้นนิ่งเฉยมาก คราวนี้ก็นิ่งไม่ได้แล้ว นางได้แต่เบิกตากว้างมองกล่องไม้หวางฮวาหลีที่วางไว้เต็มห้อง
ในกล่องไม้นั้นมีผ้าพับอย่างดี เครื่องประดับที่ประณีตและยังมีของอื่น ๆ เต็มไปด้วยกล่องแล้วกล่องเล่า
“ข้าจะไปหานาง” ป้าจางรีบออกจากห้องและตรงไปที่ห้องครัว
เมื่อมาถึงห้องครัวแล้ว ยังจะเห็นเงาของกู้เสี่ยวหวานเสียที่ไหน
บนเตานั้นมีเพียงจานที่กินแล้วเท่านั้นที่วางอย่างเรียบร้อยอยู่บนเตา
ทว่าตัวคนไม่อยู่แล้ว
ป้าจางมองสิ่งพวกนั้น ทันใดนั้นก็ปิดปากร้องไห้
ส่วนกู้เสี่ยวหวานที่ทำคนร้องไห้นั้น ตอนนี้นางกินโจ๊กรังนกเสร็จไปนานแล้วและได้เผ่นหนีตามฉินเย่จือไปแล้ว
นางซื้อของเหล่านั้นมาเพื่อให้ฉือโถวใช้แต่งงาน ก่อนหน้านั้นนางไม่ได้บอกกับพวกป้าจางเพราะว่ากลัวพวกเขาจะไม่เห็นด้วย
ข้าวของจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ทั้งหมดนั้นใช้สำหรับการแต่งงานของฉือโถว เมื่อส่งมาแล้ว ป้าจางอยากพูดก็คงไม่พูดอะไรแล้ว
แต่เมื่อเห็นใบหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ในใจกู้เสี่ยวหวานก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
สิ่งเหล่านี้นางยินดีที่จะมอบให้พี่ฉือโถว มันเป็นสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ และป้าจางเองก็สมควรที่จะได้รับด้วยเช่นกัน
“พี่เย่จือ พี่ฉือโถวแต่งงานแล้ว พวกเราก็จะเข้าเมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่” ทั้งสองคนนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกัน ฉินเย่จือดึงบังเหียนม้าและกอดกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขม ทั้งสองขี่ม้าไปอย่างเชื่องช้าบนถนนสายเล็ก
“อืม ได้ยินเถ้าแก่หลี่พูดว่าไทเฮากล่าวเช่นนี้ เส้นทางที่นี่ห่างไกลจากเมืองหลวง ดังนั้นพวกเราต้องออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไม่ให้เร่งรีบ อีกทั้งเมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้าเองก็ต้องทำความคุ้นเคยกับผู้คนและสิ่งต่าง ๆ ในเมืองหลวงด้วย เมื่อถึงเวลาไปอวยพรวันเกิดให้กับไทเฮาก็จะได้ไม่ตื่นเต้น ข้าได้ขอให้เถ้าแก่หลี่จัดเตรียมรายชื่อและบันทึกอุปนิสัยของสตรีในเมืองหลวงเอาไว้ให้เจ้าแล้ว กลับไปแล้วเจ้าก็ลองทำความเข้าใจดู” สองมือของฉินเย่จือกุมบังเหียน กู้เสี่ยวหวานก็พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เขาเท้าคางลงบนหน้าผากของนางเบา ๆ กลิ่นหอมบนเรือนผมทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
“พี่เย่จือ ข้ากลัวนิดหน่อย” กู้เสี่ยวหวานพิงไหล่ของฉินเย่จือและทิ้งน้ำหนักไปที่ตัวเขาเล็กน้อย
“กลัวอะไร” เมื่อรู้สึกถึงความหมดหนทางของคนในอ้อมแขน ฉินเย่จือก็ยื่นมือขวาออกมาข้างหนึ่งโอบเอวของกู้เสี่ยวหวานและดึงนางเข้ามาใกล้ตัวเอง
“ข้าเคยได้ยินมาว่าวังหลวงเป็นสถานที่ที่กินคนไม่คายกระดูก ท่านบอกว่าข้ามีฐานะเป็นเสี้ยนจู่ แท้จริงแล้วจะโชคดีหรือจะโชคร้ายกันแน่”
“ทำไมถึงได้มีความคิดเช่นนี้” ฉินเย่จือขมวดคิ้วที่น่ามอง ปล่อยมือจากเอวของกู้เสี่ยวหวานแล้วจับแก้มของนางพลางลูบไล้อย่างระมัดระวังด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุด
กู้เสี่ยวหวานคล้อยตามราวกับเป็นลูกแมวตัวหนึ่ง นางเอ่ยกระซิบว่า “พี่เย่จือ ข้ากลัวว่าข้าจะไม่เข้าใจมารยาทและกฎเกณฑ์ในวังหลวง ถ้าหากไม่ระวังแล้วเผลอชนใครเข้า เช่นนั้นแล้วข้าจะทำอย่างไรเล่า”
ในเมืองหลวง นางพึ่งพาใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับนาง
ใครจะช่วยเหลือนาง
สถานที่ที่ไม่รู้จักนั้นกลับทำให้นางเกิดความรู้สึกหวาดกลัว
นางไม่คิดว่าตัวเองนั้นจะเหมือนนางเอกแมรี่ซูคนอื่น ๆ ที่มีนิ้วทองคำ แม้จะอยู่ในวังก็สามารถเติบโตขึ้นได้ ทำอะไรก็ราบรื่น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะมีผู้สูงศักดิ์มาคอยช่วยเหลือนาง
“มีข้าอยู่ข้าง ๆ เจ้าไม่เป็นไรหรอก” ฉินเย่จือพูดอย่างหนักแน่น ในแววตามีความมั่นคงที่กู้เสี่ยวหวานมองไม่เห็น
“ดี ถ้าหลังจากนั้นข้าทำสิ่งใดผิดพลาดและไปขัดใจใครเข้า หากพวกเขาต้องการเอาชีวิตข้า แล้วท่านช่วยข้าไม่ได้จะทำอย่างไร” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกอบอุ่นในใจเมื่อได้ยินฉินเย่จือพูดอย่างหนักแน่น
“ไม่มีวันนั้นหรอก” ฉินเย่จือลูบศีรษะของนางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าหากมีวันนั้นจะทำอย่างไร กำลังภายในของท่านก็ช่วยข้าไม่ได้ ทำได้เพียงแต่มองข้าตายเท่านั้น” กู้เสี่ยวหวานกล่าวต่ออย่างดื้อดึง แต่ว่าคำพูดยังไม่ทันเอ่ยต่อ ริมฝีปากที่อบอุ่นของเขาก็ประกบลงบนริมฝีปากนางอีกครั้ง
ทั้งสองนั่งอยู่บนหลังม้า ม้าเดินกุกกักอย่างช้า ๆ รอบด้านนั้นเงียบสงบ มีเพียงแสงแดดที่ส่องลงมาผ่านพุ่มไม้หนาทึบ
จูบนี้ของฉินเย่จือกินเวลานานมาก และดูเหมือนจะยังแฝงไปด้วยการลงโทษ เขาขบกัดริมฝีปากของกู้เสี่ยวหวาน หรือไม่ก็จูบอย่างลึกซึ้งจนแทบจะหายใจไม่ออก ทำให้ร่างกายของนางอ่อนปวกเปียกแล้วทรุดตัวลงในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนแรง แสดงถึงความยอมจำนน
“ต่อไปข้าจะปกป้องเจ้า แม้ว่าคนที่เจ้าจะขัดใจจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ข้าก็จะสู้สุดชีวิตเพื่อเจ้า ปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย หวานเอ๋อร์ เจ้าคือชีวิตของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว” เมื่อฉินเย่จื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานหมดแรงอยู่ในอ้อมแขนตัวเอง การจูบที่ยาวนานนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วก็ได้กระซิบข้างหูของนางเบา ๆ แต่กลับแน่วแน่มั่นคงเป็นพิเศษ
ข้าจะปกป้องเจ้า ต่อให้จะต้องทำให้คนที่มีอำนาจที่สุดในโลกต้องขุ่นเคือง ข้าก็จะต้องปกป้องเจ้า เพียงเพราะเจ้าเป็นผู้เดียวในใจของข้า
ช่วงเวลาเย็น พอกลับถึงสวนกู้ ครั้นเพิ่งเข้าไปในลานบ้านก็เห็นฉือโถวยืนอยู่ตรงประตูเหมือนกับจะรอตัวเองอยู่นานแล้ว
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานกลับมา ฉือโถวก็วิ่งเข้ามาหาและจ้องมองกู้เสี่ยวหวาน ขณะเดียวกันก็ยังเหลือบมองฉินเย่จืออย่างระมัดระวัง ราวกับว่ามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับกู้เสี่ยวหวาน แต่เพราะว่ามีฉินเย่จืออยู่ข้าง ๆ เขาจึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไร
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าฉือโถวมีเรื่องในใจ นางมองฉินเย่จือแวบหนึ่งและหันไปพูดกับฉือโถวว่า “พี่ฉือโถว ท่านมีเรื่องอะไรก็พูดเถอะ พี่เย่จือไม่ใช่คนนอก”
นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ฉินเย่จือย่อมไม่ใช่คนนอก
คนผู้นี้จะเป็นสามีของนางในอนาคต
ยิ่งฉือโถวคิด ในใจก็ยิ่งรู้สึกเศร้า หลังจากที่เห็นข้าวของเต็มห้องนั้น ในใจก็ทั้งโกรธ ทั้งเศร้า ทั้งซาบซึ้ง ความรู้สึกมากมายพลุ่งพล่านอยู่ในใจของเขาจนแทบจะทำให้เขาเกือบหายใจไม่ออก
เขาต้องการให้กู้เสี่ยวหวานพูดต่อหน้าให้ชัดเจนว่า ทำไมนางต้องมอบสินสอดให้เขามากมายขนาดนั้น
“ทำไมเจ้าต้องซื้อข้าวของเยอะแยะมากมายขนาดนั้นด้วย” ฉือโถวเห็นกู้เสี่ยวหวานพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็เปิดปากพูด
………………………………………………….