ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1337 จ้าวสวิ่นประจบเอาใจ
บทที่ 1337 จ้าวสวิ่นประจบเอาใจ
ต่อมาได้ยินว่าม้าที่ตกใจนั้นเป็นรถม้าของร้านจิ่นฝู และผู้ที่นั่งอยู่ข้างในยังเป็นเสี้ยนจู่ ในตอนนี้จ้าวสวิ่นก็นั่งไม่ติดแล้ว หลังจากบอกลาเพื่อนฝูงแล้วก็รีบมาที่เกิดเหตุทันทีโดยไม่หยุดพัก
พลางคิดว่าจะต้องคอยปลอบใจเสี้ยนจู่ให้ดี ๆ เขายังส่งคนที่ฉลาดหลักแหลมข้างกายตัวเองไปเชิญหมอตั้งนานแล้ว รอจังวะจับชีพจรให้เสี้ยนจู่อันผิงที่ตกใจถือโอกาสปลอบใจเสียเลย
เมื่อคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับเสี้ยนจู่อันผิงจะต้องใกล้ชิดกันมากขึ้นในอนาคต จ้าวสวิ่นก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ตอนนี้แทบอยากจะยกสถานที่ที่กู้เสี่ยวหวานอยู่นั้นมาตั้งอยู่ตรงหน้า
แต่ว่าพอยิ่งเข้าใกล้เท่าไร เสียงด่าทอจากข้างในก็ทำให้จ้าวสวิ่นยิ่งไม่มีความมั่นใจแล้ว
เกิดอะไรขึ้น
พี่น้องตระกูลจ้าว
คือเจี๋ยเอ๋อร์และอวิ๋นเอ๋อร์
เหตุใดพวกเขาทั้งสองถึงมาอยู่ที่นี่
เดิมทีจ้าวสวิ่นยังไม่เชื่อ เมื่อได้ยินคนพูดว่าก่อนหน้านี้พี่น้องสองคนนี้ถูกเลี้ยงดูโดยฮูหยินจ้าวและได้เป็นนายน้อยกับคุณหนูของตระกูลจ้าวอย่างจริงจังแล้ว จ้าวสวิ่นไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าข้างในนี้ยังมีลูกชายและลูกสาวของตัวเองอีกสองคน
และยังได้ยินเสียงที่เยาะเย้ยถากถางนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ฝีเท้าของจ้าวสวิ่นเริ่มช้าลง แต่ว่าก็ไม่ทันแล้ว มีคนที่ตาดีเห็นจ้าวสวิ่นเข้าจึงร้องตะโกนเสียงดัง
ในใจของจ้าวสวิ่นรู้สึกไม่ดีขึ้นทันที ฝีเท้าจึงหยุดลงและคิดอยากจะหมุนตัวจากไป ทว่าในตอนนี้กลุ่มคนก็ล้อมรอบเขาแล้ว เจ้าผลักข้าขยับจนดันเขาไปอยู่ตรงกลาง
เป็นไปตามคาด เมื่อจ้าวสวิ่นกวาดสายตามองก็เห็นจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์นั่งอยู่บนพื้นราวกับโคลน ไม่กล้าขยับเหมือนกับสุนัขที่ไร้เจ้าของ มีดสั้นที่ส่องประกายเย็นเยียบอยู่ห่างจากใบหน้าของนางเพียงแค่เล็กน้อย ขอแค่ผู้ที่ถือมีดนั้นขยับมือเพียงเล็กน้อย มีดที่คมกริบนั้นจะต้องกรีดผิวที่งดงามหมดจดอย่างแน่นอน
จ้าวสวิ่นกระวนกระวายใจ เขาเป็นห่วงจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ แต่ขณะเดียวกันก็ยิ่งไม่พอใจต่อลูกสาวที่โง่เขลาคนนี้
เหตุจึงได้เจอนางอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงประมาทเลินเล่อเช่นนี้
กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสง่างามเหมือนกับลำต้นไผ่ แขนเสื้อสะบัดปลิวไปตามสายลม เส้นผมพลิ้วไหวไปตามสายลม คิ้วและดวงตาที่ราวกับภาพวาด เมื่อมายืนอยู่ข้าง ๆ จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่โอ้อวดว่าตัวเองนั้นงดงามอย่างภาคภูมิใจแล้ว กู้เสี่ยวหวานนั้นยิ่งงดงามกว่ามาก
คนหนึ่งเป็นเมฆขาวที่ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า อีกคนนั้นเป็นโคลนอยู่บนพื้นดิน
จ้าวสวิ่นอยากจะกระอักเลือดออกมาจริง ๆ บนใบหน้านั้นจะยังมีรอยยิ้มดั่งเช่นเมื่อครู่นี้อยู่เสียที่ไหน เขาจ้องมองลูกสาวอย่างไม่พอใจด้วยความแค้นเคืองอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็ทำราวกับว่ามองไม่เห็นนาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มพลางเดินเข้าไปหากู้เสี่ยวหวานและทักทายอย่างสนิทสนม “เสี้ยนจู่”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ดวงตาของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็สว่างขึ้น “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย”
พอจ้าวสวิ่นได้ยินเสียงเรียกนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็คลายออกทันที ชี้มือไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์อย่างสงสัยและถามอย่างงงงวยว่า “เสี้ยนจู่ นี่คืออะไรหรือ”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ สตรีชั่วร้ายผู้นี้จะกรีดใบหน้าของลูก ท่านรีบช่วยลูกเร็วหน่อย รีบให้นางเอามีดออกไป” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กรีดร้องเสียงหลง เมื่อเห็นว่าปลายมีดนั้นเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น สีหน้าของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ซีดเผือดลงด้วยความหวาดกลัว “ท่านพ่อ สตรีชั่วร้ายผู้นี้ นางต้องการจะทำลายใบหน้าของลูก”
เมื่ออาจั่วเห็นว่าสตรีผู้นี้กล้าพูดจาไร้สาระทั้งที่ยังลืมตาโดยไม่เกรงใจนางแม้แต่น้อย คมมีดก็พุ่งตรงเข้าไปบาดผิวที่บอบบางของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ ใบหน้าที่หมดจดนั้นก็มีเลือดไหลออกมาทันที
“อ๊า!!!…”
“ไม่นะ!”
ทั้งสองพ่อลูกร้องเป็นเสียงเดียวกัน
“กู้เสี่ยวหวาน เจ้ามันเป็นสตรีที่ชั่วร้าย เกือบจะทำร้ายมารดาของข้า ตอนนี้ยังจะมาฆ่าข้าอีก เจ้ามันเป็นสตรีที่อำมหิต”
เสียงกรีดร้องของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์แหลมเสียดหู จ้าวสวิ่นร้อนรนจนเหงื่อเริ่มไหลออกมา ลูกสาวโง่เง่าผู้นี้ ตอนนี้จะหุบปากไปไม่ได้เลยรึ!
เขาจึงรีบประสานมือขอร้องกู้เสี่ยวหวาน “เสี้ยนจู่ ขอร้องท่านให้อภัยคนผิดด้วย มีเรื่องอะไรพวกเราก็พูดคุยปรึกษากันดี ๆ หน้าตานั้นถือเป็นชีวิตของสตรีนะ ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
ในสายตาของจ้าวสวิ่นนั้นแสดงให้เห็นถึงความกังวลและความตื่นตระหนก เมื่อเห็นคมมีดนั้นบาดผิวจนเลือดไหลหยดออกมา เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป
สตรีผู้นี้เป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ตัวเองนั้นมีบุตรสามคน แต่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เป็นสตรีเพียงแค่คนเดียว
อีกทั้งบุตรสาวคนนี้ก็หน้าตางดงามมาก จ้าวสวิ่นเองก็เจ็บปวดใจเช่นกันเมื่อเห็นนางตกอยู่ในสภาพที่สะบักสะบอมเช่นนี้ เขาก็ไม่สบายใจอย่างมาก บิดาที่เมตตาจึงรีบปลอบโยนจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
คนที่ถูกเรียกว่าจ้าวเหล่าเมื่อสักครู่นั้น ในตอนนี้ก็เอ่ยปากพูดว่า “นายท่านจ้าว บุตรของท่านทั้งสองคนนี้จะต้องคอยสั่งสอนให้ดี ๆ พวกเขาตั้งใจทำให้ม้าของเสี้ยนจู่ตกใจไม่พอ ยังวางแผนเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามอีก รถม้าคันเล็ก ๆ นี้ ผู้ใดจะรู้ว่าบุตรชายของเจ้าที่อยู่ข้างในจะทำเรื่องอะไรบ้างเพื่อทำลายชื่อเสียงของเสี้ยนจู่ ข้ายังได้ยินมามาว่าอนุภรรยาของเจ้าอยากสู่ขอแต่งงานกับเสี้ยนจู่ผิงอัน แล้วเป็นอย่างไรเล่า สู่ขอไม่สำเร็จก็มาทำเช่นนี้รึ!”
จ้าวเหล่าผู้นั้นเป็นชายชราในเมืองหลิวเจีย แม้ว่าภูมิหลังของครอบครัวนั้นจะสู้จ้าวสวิ่นไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโส ไม่อาจมองข้ามได้ แค่จ้าวเหล่ากล่าวขึ้นเพียงสองประโยค จ้าวสวิ่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะโต้แย้ง
ทันทีที่จ้าวสวิ่นได้ฟังคำพูดนี้จบ หน้าก็เขียวแล้ว เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เป็นไปตามคาด ที่ตรงใต้มุมกำแพงนั้นมีคนนอนอยู่บนพื้นกำลังร้องโอดโอยอยู่ เมื่อมองชัด ๆ แล้ว ถ้าไม่ใช่จ้าวจื่อเจี๋ยแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก
จ้าวเหล่าไม่มีทางที่จะพูดจาไร้แก่นสาร ในเมื่อเอ่ยปากแล้วและยังพูดเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานชัดเจนแล้ว แม้ว่าจ้าวสวิ่นอยากจะแก้ต่างให้บุตรสาวและบุตรชายของตัวเอง นั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเยอะแยะมากมายเช่นนี้ คนที่พวกเขาอยากจะทำร้ายยังเป็นเสี้ยนจู่ที่ผู้ใดก็ไม่อาจล่วงเกินได้
จ้าวสวิ่นไม่ถามอะไรเลย พอเห็นสถานการณ์ของบุตรสาวและบุตรชายของตนก็รู้แล้วว่าพวกเขาเพิ่งจะทำเรื่องที่ผิดไปอย่างแน่นอน
ระหว่างทาง ม้าตัวนั้นได้พลิกคว่ำแผงขายของและทำลายข้าวของที่อยู่ริมทาง แค่ไม่มีใครออกมาบอกว่ามีคนได้รับบาดเจ็บล้มตายก็นับว่าโชคดีในความโชคร้ายแล้ว
“จ้าวเหล่า ท่านกล่าวได้ขบขันแล้ว เสี้ยนจู่ผิงอันผู้สูงศักดิ์ ลูกอกตัญญูของข้าผู้นี้จะปีนป่ายไปคบกับผู้ที่มีฐานะสูงส่งกว่าได้อย่างไรกัน เสี้ยนจู่อันผิง วันนี้ล่วงเกินมากแล้ว กลับไปข้าจะต้องสั่งสอนเด็กทั้งสองคนนี้ให้ดี ๆ รับรองว่าต่อไปนี้จะไม่ให้พวกเขามารบกวนเสี้ยนจู่อันผิงอย่างเด็ดขาด” จ้าวสวิ่นรีบร้อนสาบาน ดวงตาที่สดใสนั้นมองกู้เสี่ยวหวานอย่างให้คำมั่นสัญญา