ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1339 เกลือจิ้มเกลือ
บทที่ 1339 เกลือจิ้มเกลือ
ถ้าตอนนั้นจ้าวจื่อเจี๋ยผู้นั้นทำสำเร็จจริง ๆ ข้าจะทำอย่างไรดี?
เมื่อครู่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยอมรับว่าจ้าวจื่อเจี๋ยนั้นต้องการฉีกเสื้อผ้าของคุณหนูและทำลายชื่อเสียงของนางให้เสื่อมเสีย หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง…
อาจั่วคิดว่าหากฉินเย่จือรู้เรื่องนี้เข้า… นางไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า สถานการณ์ ณ เวลานั้นมันบีบบังคับ ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ลุกขึ้นเถอะ” เมื่อเห็นว่านางไม่สามารถดึงตัวเองขึ้นมาได้ กู้เสี่ยวหวานจึงพูดได้แค่นั้น
ดวงตาที่หลุบต่ำลงของอาจั่วนั้นฉายแววเย็นเยือก หากแต่ก็ลุกขึ้นตามคำพูดของกู้เสี่ยวหวานและนั่งลงข้าง ๆ หญิงสาว
เมื่อเห็นใบหน้าของนางดูไม่มีความสุข กู้เสี่ยวหวานจึงเอ่ยปลอบโยน “เรื่องเช่นนี้เจ้าไม่สามารถป้องกันได้หรอก โชคดีที่วันนี้ข้าใช้อาวุธลับที่พี่เย่จือมอบไว้ให้ ดูสิ เขาไม่สามารถทำอะไรข้าได้เลย แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นจ้าวจื่อเจี๋ยที่ถูกม้าตัวนั้นเตะ ไม่รู้ว่าบาดเจ็บหนักหรือไม่”
ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเป็นประกาย วันนี้นางรู้สึกอับอายเล็กน้อยจึงไม่ได้ไล่ตามอีกฝ่ายไปมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ไล่ตามในภายหลัง
จ้าวจื่อเจี๋ยต้องการทำลายความบริสุทธิ์ของนางเพื่อจะให้ได้นางไปครอบครอง
เช่นนั้นก็จะทำให้เขาได้สมปรารถนา
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็เรียกหาเหลียงอวี้เฉิงและถามอย่างสบาย ๆ “ข้าได้ยินมาว่านางผู้นั้นเป็นผู้ที่มีแต่ความอ่อนหวานเพ้อฝันและรักใคร่”
เมื่อเหลียงอวี้เฉิงได้ยิน ใบหน้าของเขาก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อยและพยักหน้าอย่างรีบร้อน “ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง”
“นางผู้นั้นอายุเท่าไร”
“อายุสามสิบปีขอรับ” เหลียงอวี้เฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าหญิงผู้นี้เป็นคนคลั่งในความรัก หลังจากแต่งงาน นางไม่สามารถหักห้ามใจตนเองได้ และนั้นทำให้สามีของนางโกรธเคือง หลังจากนั้นเขาก็ปลดนาง ทำให้นางกลายเป็นม่าย”
เสียงของเหลียงอวี้เฉิงแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ และสบถออกมาด้วยความโกรธ “ไร้ยางอาย”
กู้เสี่ยวหวานพยายามครุ่นคิด จ้าวจื่อเจี๋ยอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น และแม่ม่ายผู้นั้นก็อยู่ในวัยสามสิบ ด้วยอายุที่ห่างกันมาก จ้าวจื่อเจี๋ยก็ยังไม่ละเว้น
“แม่ม่ายผู้นั้นแก่กว่าเขาสิบปี พวกเขาทั้งสองจะคบกันได้อย่างไร” กู้เสี่ยวหวานถามด้วยความสงสัย
“แม้ว่าแม่ม่ายจะอายุมากกว่า หากแต่ข้าได้ยินมาว่านางนั้นมากไปด้วยเสน่ห์ ผิวพรรณและรูปร่างได้รับการดูแลดีกว่าหญิงทั่วไป” เหลียงอวี้เฉิงหยุดลงเพียงเท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคำบอกเล่า… แต่มีคนพูดถึงเรื่องนี้มากมาย คาดว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องจริง
หลังจากฟังเหลียงอวี้เฉิงเล่าแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็กระตุกยิ้มเย้ยหยันราวกับเกิดความคิดที่ดี
อาจั่วซึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลา จึงไม่เห็นการแสดงออกทางสายตาของกู้เสี่ยวหวาน และเมื่อเงยหน้าขึ้น ท่าทางเมื่อครู่ก็หายไปแล้ว
เพราะอาจั่วเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา คนภายในสวนกู้จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู้เสี่ยวหวาน และหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ กู้เสี่ยวหวานก็กลับไปที่ห้องของนางเพื่อพักผ่อน
อาจั่วยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูไม่ห่าง
……
หลังจากที่จ้าวสวิ่นพาทั้งสองคนกลับไปแล้ว พวกเขาก็ถูกขังอยู่ในศาลบรรพบุรุษ เมื่อฮูหยินจ้าวได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนถนน นางโกรธมากจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด
ชื่อเสียงของตระกูลจ้าวถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของสองคนนี้
ฮูหยินจ้าวโกรธมากจนแทบไร้เรี่ยวแรง นางจึงไปที่ศาลบรรพบุรุษโดยความช่วยเหลือของสองสาวใช้
จ้าวจื่อเจี๋ยถูกม้าเตะทำให้ซี่โครงหักสองซี่ และมีเหล็กทิ่มแทงอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมาก สันนิษฐานว่าพวกมันถูกเสียบเข้าไปในร่างกายตอนที่เขาอยู่ในรถม้า
ในที่สุด จ้าวจื่อเจี๋ยก็ฟื้นคืนสติ พร้อมกับเอาแต่สบถสาปแช่ง “กู้เสี่ยวหวาน หญิงเลวทราม เจ้ากล้าต่อต้านข้างั้นหรือ ข้าไม่หยุดหยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่”
ผัวะ!
จ้าวสวิ่นตบศรีษะจ้าวจื่อเจี๋ยเต็มแรง
“ท่านพ่อ ท่านตีข้าทำไม วันนี้ข้าเกือบทำสำเร็จแล้วถ้าไม่ใช่เพราะหญิงคนนั้นที่วางแผนต่อต้านข้า กู้เสี่ยวหวานจะได้เป็นสะใภ้ของตระกูลจ้าว นี่คือสิ่งที่ตระกูลจ้าวต้องการไม่ใช่หรือ ตราบใดที่ข้าแต่งงานกับนาง ตระกูลจ้าวก็สามารถเทิดเกียรติให้บรรพบุรุษของพวกเขาได้อีกครั้ง”
จ้าวจื่อเจี๋ยคนนี้ยังคงมีความคิดโหดเหี้ยม จ้าวสวิ่นโกรธมากจนแทบรอไม่ไหวที่จะเตะลูกชายคนนี้ให้ตาย
“เทิดเกียรติบรรพบุรุษหรือ?” จ้าวสวิ่นชี้ไปที่จ้าวจื่อเจี๋ยด้วยมือที่สั่นเทาด้วยความโกรธ เขาอยากที่จะกินเนื้อและดื่มเลือดของตัวเอง เขาไม่มีหน้าไปสู้บรรพบุรุษอีกต่อไป แต่ในขณะนี้จ้าวจื่อเจี๋ยยังคงพูดคำโง่ ๆ อย่างการ ‘เทิดเกียรติบรรพบุรุษ’ ออกมา “ศักดิ์ศรีของตระกูลจ้าวถูกเจ้าทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี เจ้ายังกล้าพูดว่าเทิดเกียรติบรรพบุรุษอย่างนั้นหรือ ตระกูลจ้าวของเรามีลูกชายนอกสมรสอย่างเจ้าได้อย่างไร ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะเกิดมาแล้วเป็นเช่นนี้ ข้าน่าจะบีบคอเจ้าตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
“ท่านพ่อ ท่านจะพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านพี่เป็นลูกชายแท้ ๆ ของท่านนะ แต่กู้เสี่ยวหวานเป็นคนนอก ท่านจะจัดการท่านพี่แทนคนนอกอย่างกู้เสี่ยวหวานได้อย่างไร” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ได้ยินคำพูดที่โหดร้ายของจ้าวสวิ่นจึงพูดขอร้องให้จ้าวจื่อเจี๋ย
“ข้ายังไม่ได้พูดกับเจ้า” ความโกรธของจ้าวสวิ่นยังไม่ดับลง เมื่อเห็นว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์โต้เถียงแทนจ้าวจื่อเจี๋ยในขณะนี้ เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เขายกมือขึ้นและชี้ไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และด่าทอ
“พี่ชายของเจ้าบ้าไปแล้ว ดีนี่! ชื่อเสียงของเจ้าสองคนพี่น้องถูกทำลายไปไม่พอ ยังพาลทำให้ตระกูลจ้าวเสื่อมเสียชื่อเสียงตามไปด้วย ถ้าตอนนั้นข้ารู้ ข้าคงไม่พาพวกเจ้ากลับมาเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษ แล้วให้เจ้ามาสร้างความอับอายให้กับตระกูลจ้าวเช่นนี้!” จ้าวสวิ่นพูดอย่างไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่สนใจสายตาที่ดุร้ายของจ้าวจื่อเจี๋ยเลย
“ท่านพ่อ ถ้าท่านดูถูกเราสองคนพี่น้องได้อย่างไรกัน แม้ท่านจะสามารถขับไล่พวกเราออกไปได้ แต่อย่าคิดว่าพวกเราชอบอยู่ในสถานที่เช่นนี้ของตระกูลจ้าว ท่านบอกว่าพวกข้าหน้าไม่อาย ไม่ละอายแก่ใจ แล้วท่านควรละอายใจมากกว่าพวกข้าหรือไม่ ท่านมีอนุภรรยาอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่พานางเข้าบ้าน ไม่ให้นางออกหน้าออกตา ข้ากับอวิ๋นเอ๋อร์เป็นลูกนอกสมรสมาโดยตลอดหลายปี ท่านบอกว่าพวกข้าหน้าไม่อาย ใช่! พวกข้าหน้าไม่อายมาโดยตลอด พวกข้าไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว พวกข้าไม่มีอะไรจะเสีย” ตอนนี้จ้าวจื่อเจี๋ยก็คลั่งมากเช่นกัน เขาสบถอย่างบ้าคลั่ง
“ถ้าไม่ใช่เพราะแม่เสือตัวนั้นที่กดขี่ท่านแม่ของข้า ท่านแม่ของข้าคงเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการของตระกูลจ้าว อวิ๋นเอ๋อร์กับข้าก็เป็นนายน้อยและคุณหนูอย่างเป็นทางการเช่นกัน เพราะแม่เสือตัวนั้น มันเป็นความผิดของนางทั้งหมด หลายปีที่ผ่านมา ลูกนอกสมรสอย่างพวกข้าถูกแม่เสือตัวนั้นทำร้ายมาโดยตลอด!”
ในขณะนั้นฮูหยินจ้าวก็เดินเข้ามาจากข้างนอกและได้ยินคำพูดของจ้าวจื่อเจี๋ยพอดี
นางแทบล้มทั้งยืน