ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1347 จานหงอวี้
บทที่ 1347 จานหงอวี้
“คนผู้นั้นก็คือคนสนิทของท่านอย่างไรล่ะ จานซื่อ” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กล่าวอย่างตำหนิติเตียน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
ครั้นได้ยินชื่อนี้ จ้าวจื่อเจี๋ยรู้สึกสับสนเล็กน้อย “นางเองหรือ?”
“หึ! นางเป็นคนใจกว้างมาก นางจ่ายเงินสามร้อยตำลึงเพื่อซื้อเครื่องหอมทั้งหมดสี่กล่อง หญิงสาวคนอื่นต่างก็พากันอิจฉาและทำได้แต่เพียงมองดู” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์คิดในใจ ข้าแทบจะขาดใจด้วยความริษยา “หึ! ท่านพี่ ท่านบอกอวิ๋นเอ๋อร์มาว่าเงินสามร้อยตำลึงนั่น เป็นของท่านไปเท่าไรแล้ว?”
หญิงม่ายคนนั้นใจกว้างทุกครั้งที่นางคลื่อนไหว ไม่รู้ว่านางมีชายหนุ่มกี่คนถึงทำให้นางเฟื่องฟูได้เช่นนี้
เมื่อได้ยินจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เสียดสีตน จ้าวจื่อเจี๋ยก็รู้สึกอายเล็กน้อยพลางเกาหัวและพูดว่า “ข้าก็แค่เล่น ๆ กับนางเพียงเท่านั้น”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังไม่ยอมเชื่ออีกฝ่าย “ท่านพี่ ข้าเกรงว่าท่านจะไม่รู้ ครั้งล่าสุดจานซื่อเอ่ยออกมาว่าคนที่นางรักมากที่สุดคือท่านพี่ ทั้งยังบอกอีกว่าท่านจะไปสู่ขอนาง แม้ว่าท่านจะอายุห่างจากกันสิบปีก็ไม่เป็นอุปสรรค”
“ช่างไร้เหตุผลเสียจริง ๆ ไร้สาระจริง ๆ ข้าจะแต่งงานกับนางได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงว่านางเคยแต่งงานมาก่อน อีกทั้งตอนนี้นางก็เป็นแม่ม่าย ดูอายุของนางเสียก่อน นางแก่กว่าข้ากว่าสิบปี อีกไม่กี่ปีนางก็จะเป็นแม่ของข้าได้แล้ว” จ้าวจื่อเจี๋ยตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยความรังเกียจและขยะแขยง “แป้งบนใบหน้าหนากว่าผิวหนังและไม่สามารถปกปิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ แม่ม่าย มันเป็นความเข้าใจผิดที่ข้าจะแต่งงานกับแม่ม่ายอย่างนาง แทนที่จะเป็นน้องสาวคนนี้ของข้า”
ในขณะนี้ น้ำเสียงของจ้าวจื่อเจี๋ยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หากแต่มันยังคงมีความรังเกียจและไม่ชอบใจอยู่ แต่ก็เจือไปด้วยความสุข “ดูเจ้าสิ เจ้าช่างอ่อนโยนและงดงาม เจ้าสวยงามโดยธรรมชาติราวกับไม่มีแป้งมาปกปิด”
จ้าวจื่อเจี๋ยรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ชอบที่จะฟังสิ่งดี ๆ และเมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากพี่ชายของนาง นางก็ยังคงหัวเราะคิกคักและทุบตีร่างกายของจ้าวจื่อเจี๋ยอย่างต่อเนื่องด้วยกำปั้นน้อย ๆ ของตนเอง “ท่านพี่ ท่านนั้นร้ายจริง ๆ เชียว”
ทั้งสองหัวเราะและหยอกล้อกันคิกคัก จ้าวจื่อเจี๋ยปิดประตูแล้วดึงจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เข้ามาพร้อมกับนอนลงบนเตียง และเมื่อฮูหยินจ้าวเปิดประตูเข้าไป ก็บังเอิญเห็นจ้าวจื่อเจี๋ยจับมือทั้งสองของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยกขึ้นเหนือศีรษะของนาง
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์นอนอยู่บนเตียง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ในขณะที่จ้าวจื่อเจี๋ยกำลังกลั่นแกล้งนาง และยกร่างขึ้นคร่อมร่างกายน้องสาวเท่านั้น
เมื่อห็นฉากดังกล่าว สีหน้าของฮูหยินจ้าวก็มืดลงในทันใด และตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดรุนแรง “พวกเจ้าสองคนกำลังทำอะไรกัน!”
เป็นตอนนั้นเองที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เกิดอาการตื่นตระหนก นางกุลีกุจอผลักจ้าวจื่อเจี๋ยออกไป และยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง เสื้อผ้าท่อนบนหลุดลุ่ยเผยให้เห็นไหล่ขาวที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำที่ยังคงเห็นได้จาง ๆ ซึ่งทำให้คนที่เห็นพลันจินตนาการไปไกล
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ตื่นตระหนก หากแต่ไม่ใช่เพราะฮูหยินจ้าวปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เพราะนางเห็นคนข้างหลังฮูหยินจ้าว นางคือจานซื่อ
วันนี้จานซื่อสวมเสื้อผ้าสีชมพูดอกไม้ ผมของนางถูกหวีอย่างพิถีพิถัน เสื้อผ้าบนร่างกายของนางก็เรียบกริบไม่มีแม้แต่รอยพับสักรอยเดียว ช่างดูสง่างามและสูงส่ง
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ต้องการถูกเปรียบเทียบกับหญิงม่ายที่พี่ชายของนางพูด ดังนั้นนางจึงเชิดหน้าขึ้นสูงและเอ่ยขึ้นเสียงดัง พยายามที่จะกดดันหญิงม่ายคนนั้นด้วยสถานะของตน “ฮูหยินจ้าว ท่านมาทำอะไรที่นี่? แล้วหญิงม่ายฉาวโฉ่ผู้นี้เข้าประตูตระกูลจ้าวมาได้อย่างไร ตระกูลจ้าวมีกฎอยู่ไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ใครจะเข้าออกได้ตามต้องการ”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เอ่ยเสียดแทงที่ละคำอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของฮูหยินจ้าวแดงก่ำด้วยความโกรธ “สารเลว ข้าเป็นแม่ของพวกเจ้านะ”
“แม่ของข้าแซ่หง” จ้าวอวิ๋นเอ๋อ์โต้ฮูหยินจ้าวกลับไปทันควัน
ทั้งสองกำลังทำให้ฮูหยินจ้าวโกรธเคือง นางชี้ไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ หากก็ได้แต่นิ่งอึ้งพูดไม่ออก ถ้าไม่ใช่เพราะจานซื่อส่งของที่มีเงินก็ยังซื้อไม่ได้อย่างเครื่องหอมมาให้นางในวันนี้ นางก็คงไม่มายังลานที่ถูกกลบไปด้วยเครื่องหอมเช่นนี้ ช่างเปล่าประโยชน์เสียจริง
อย่างไรก็ตาม การมาวันนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์
เมื่อนึกถึงภาพอันคลุมเครือที่เห็นเมื่อครู่ ฮูหยินจ้าวก็เย้ยหยัน นางไม่ได้พูดอะไรกับจ้าวจื่อเจี๋ยและจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ เพียงแค่มองไปที่จานซื่อ จากนั้นหันหลังและเดินจากไป
ทันใดนั้นก็เหลือเพียงคนสามคนภายในห้อง จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์จ้องมองจานซื่อที่ทำตัวแปลกประหลาดอย่างโกรธเคือง
ดวงตาของจานซื่อเต็มไปความยิ้มเยาะ นางถือผ้าคลุมตั้งแต่ที่นางก้าวเข้ามาในห้อง ดวงตาของนางไม่เคยละสายตาจากคนบนเตียงเลย ไม่ได้เจอเขาหลายวันแล้ว เขาน้ำหนักลดไปมาก แต่เขาก็ยังหล่อเหลาเหมือนเช่นเคย
ดวงตาของจานซื่อจับจ้องที่พื้น หัวใจของจ้าวจื่อเจี๋ยเองก็เต้นรัวเมื่อเห็นมัน “หงอวี้ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
จานหงอวี้คือหญิงคนสนิทของตนเอง
ทันทีที่จานหงอวี้ได้ยินจ้าวจื่อเจี๋ยเรียกชื่อของนาง หยาดน้ำตาก็พรั่งพรูไหลอาบแก้ม ท่าทางของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ “จื่อเจี๋ย ข้าคิดว่าเจ้าลืมข้าไปเสียแล้ว”
หลังจากพูดจบ นางก็เช็ดน้ำบริเวณหัวตาอย่างระมัดระวัง
จ้าวจื่อเจี๋ยล้มลงเนื่องจากหยอกล้อกับจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมด้วยเหตุผลบางอย่าง หากฮูหยินจ้าวมาไม่ทันเวลา เขาคงไม่สามารถควบคุมจิตใจของตนเองได้ เพราะไหล่ขาวเนียนนั้นช่างหอมเย้ายวน เขาจึงจุมพิษลงไป
เมื่อเห็นการมาถึงของจานหงอวี้ในขณะนี้ หัวใจของจ้าวจื่อเจี๋ยก็เริ่มคันยุบยิบอีกครั้ง และมีอาการชาที่กระดูกก้นกบ ซึ่งทำให้เขารู้สึกร้อนไปทั้งตัว ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหาจานหงอวี้ แล้วนางก็ส่งสัญญาณกลับมาให้เขา
การกระทำนี้ทำให้จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์โกรธเคือง นางยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ทำไมพี่ชายของนางถึงเปลี่ยนนิสัยนี้ไม่ได้ เพียงแค่เห็นหญิงสาวก็ทำให้เขาถึงกับก้าวขาไม่ออก
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์มองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
อีกฝ่ายอายุสามปีแล้ว แต่ว่านางดูแลตัวเองจนนางเหมือนหญิงสาวอายุยี่สิบปี ใบหน้าของนางขาวนวล ท่าทางของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่สามารถเลียนแบบท่าทางของหญิงสาวที่เปลี่ยนความรู้สึกทั้งหมดจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ และนางเองก็เป็นคนขี้อิจฉา
เมื่อเห็นสายตาของพี่ชายมองตรงไปที่จานซื่อ นางก็หมดคำจะพูดกับพี่ชายคนนี้จริง ๆ นางจ้องไปที่จ้าวจื่อเจี๋ยด้วยดวงตากลมโต จากนั้นก็หันไปมองจานหงอวี้ด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วถือผ้าเช็ดหน้าเดินจากไปอย่างภาคภูมิ
เมื่อเห็นน้องสาวของเขาจากไป จ้าวจื่อเจี๋ยเห็นก็เหมือนไม่เห็นบุคคลที่สามที่ไม่สามารถแทรกแซงความพึงพอใจของเขาในตอนนี้ได้
และรีบขานเรียกจานหงอวี้ “ที่รัก นานแล้วที่เจ้าไม่ได้มาที่นี่ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน