ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1359 พี่ใหญ่ซ่ง
บทที่ 1359 พี่ใหญ่ซ่ง
กลุ่มหญิงโสดที่มารีบดีใจกันยกใหญ่ เมื่อเห็นชายผู้นี้หล่อเหลาราวเทพเจ้า มีหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่สวมชุดสีขาวนวลราวกับดวงจันทร์ คิ้วเรียงตัวสวยและมีดวงตางามราวภาพวาดยืนอยู่ข้างกาย แต่หญิงคนนั้นจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่กู้เสี่ยวหวาน
ในพริบตาเดียว ความตื่นเต้นในดวงตาของกลุ่มหญิงสาวหายไปในทันที พวกนางจ้องมองที่กู้เสี่ยวหวานอย่างไม่พอใจ แต่พวกนางไม่กล้าที่จะรุกรานอีกฝ่าย ได้แต่จ้องมองที่ฉินเย่จือและหันหลังกลับอย่างไม่เต็มใจและจากไป
อย่างไรก็ตาม กลุ่มหญิงสาวยังคงรวมตัวและพูดคุยกัน ทั้งยังแอบมองไปที่ฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานเป็นครั้งคราว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ พวกนางก็ยังรู้สึกไม่เต็มใจ
กู้เสี่ยวหวานจับมือฉินเย่จือแน่น “ข้าไม่รู้ว่าคืนนี้ข้าจะเป็นหนามยอกอกหญิงอีกกี่คน”
หญิงสาววิ่งเข้ามาห้อมล้อมพวกเขามากมาย และนางยังต้องยืนหยัดอยู่ตรงนี้อย่างภาคภูมิ ถ้าสายตาหญิงสาวพวกนี้เหมือนมีด นางคงถูกเฉือดเฉือนจนไม่เหลือชิ้นดี
เมื่อเห็นท่าทางเศร้าของลูกแมว ฉินเย่จือยิ้มและไม่พูดอะไร เขาหยิบโคมออกมาจากด้านหลังราวกับมีเวทมนตร์แล้วส่งให้กู้เสี่ยวหวาน “สวยหรือไม่”
กู้เสี่ยวหวานรับมันมาด้วยความประหลาดใจ โคมนี้ไม่ได้ทำมาจากกระดาษเหมือนของคนอื่น ๆ แต่โคมนี้เคลือบเงามันจนปรากฏสีสัน และรูปดอกบัวเสมือนจริงนั้นดูละเอียดประณีตมาก
“เอามาจากไหนหรือ มันสวยมาก”
โคมนี้กลายเป็นโคมที่สวยที่สุดในค่ำคืนนี้
สีเคลือบนั้นโปร่งใส แสงเทียนสีแดงสะท้อนบนสีเคลือบแต่ละชิ้น ซึ่งสวยงามและสะดุดตา
ฝูงชนพลุกพล่านเบียดเสียดกันเป็นครั้งคราว ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานไว้แน่น ปกป้องนางจากด้านข้างเพื่อป้องกันไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย กู้เสี่ยวหวานถือโคมไว้ในมือของนาง และระหว่างทางนางก็เก็บเกี่ยวความอิจฉาตาร้อนได้อย่างถ้วนหน้า
แต่สิ่งที่น่าอิจฉาที่สุดไม่ใช่โคมไฟแบบนั้น แต่เป็นการที่ฉินเย่จือไม่เคยละสายตาจากกู้เสี่ยวหวานตั้งแต่ย่างเท้าออกมาจากร้านจิ่นฝู เขาอ่อนโยนตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนดวงดาวในค่ำคืนอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยโคมไฟเงางาม
เดิมทีกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือต้องการดูโคมไฟก่อนที่จะไปเมืองหลวงและจัดงานหมั้น จากนั้นพวกเขาค่อยกลับไป อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนมากกำลังดูโคมไฟ ทว่าใครบางคนที่เขาไม่ต้องการพบเจอก็ปรากฏตัวขึ้น…
เมื่อมาถึงสถานที่ทำโคมไฟ โคมไฟนั้นถูกทำขึ้นอย่างประณีต มีคนมากมายเฝ้าดูอยู่ข้างหน้าและพูดคุยกัน
กู้เสี่ยวหวานบังเอิญเดินผ่านไป และบังเอิญได้ยินใครบางคนพูด นางจึงมองอย่างสงสัยอีกครั้ง ขณะที่นางกำลังจะจากไป ก็มีใครบางคนหยุดไว้
“แม่นางผู้นี่คือเสี้ยนจู่นี่นา… ทำไมวันนี้ท่านถึงมีเวลาออกมาดูโคมไฟล่ะ” คนที่พูดคือจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ บุตรสาวของจ้าวสวิ่น
วันนี้จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์สวมชุดสีชมพู ไหล่แคบ และเอวบางคอดทำให้หญิงผู้นี้ดูงดงามราวกับหยก
เมื่อพูดถึงรูปร่างหน้าตา จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา
คิ้วได้รูป ปากสีแดงระเรื่อ ดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความรัก ดวงตาที่สื่อความรู้สึกออกมาโดยที่ไม่ต้องเอ่ยคำว่ารัก ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะมีคำบอกรักนับไม่ถ้วน รูปร่างที่เพรียวบาง เอวที่คอดกิ่วนั้นดูเหมือนว่าคนอื่นสามารถโอบมันได้ด้วยมือเดียว ช่างมีเสน่ห์และงดงามจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานเคยพบกับหงซื่อมาก่อน ดังนั้นนางจึงรู้ได้โดยทันทีว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์มีหน้าตาเป็นอย่างไร
หากคำที่ว่ามีเสน่ห์และงดงามเหล่านี้ใช้กับหญิงที่แต่งงานแล้วหรือในหอนางโลม ก็ยังคงเป็นคำชมเชย แต่ถ้าใช้สองคำนี้ใช้กับหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานก็ไม่ควรพูดออกไป
ความสวยก็คือความสวย แต่ความสวยไม่สมศักดิ์ศรีเหมือนสาวโสด
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์พูดกับกู้เสี่ยวหาน แต่ในขณะที่นางพูด ดวงตาของนางไม่เคยละจากร่างของฉินเย่จือ เมื่อนางเห็นฉินเย่จือ ดวงตาและร่างกายของนางก็สั่นระริกด้วยความตื่นเต้น แต่ทันทีที่นางเห็นฉินเย่จือจับมือกู้เสี่ยวหวานแน่น ใบหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปทันที มันดำเหมือนก้อนถ่าน
กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการพูดคุยกับนาง ฉินเย่จือเองก็เหมือนกัน เขาไม่ได้หยุดเดินและจากไปทันที
มีคนไม่กี่คนที่อยู่รอบ ๆ จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์มองมาทางนี้ และพวกเขาทั้งหมดมองร่างที่กำลังเดินจากไปของฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานอย่างอยากรู้อยากเห็น
นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่ชี้แนะความจริง มองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยเจตนาร้าย ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความดูถูก
เมื่อจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ถูกผู้อื่นดูหมิ่นเหยียดหยาม กู้เสี่ยวหวานผู้นี้มีความกล้าที่จะไม่แม้แต่จะทักทาย นางไม่มีการศึกษาจริง ๆ
“คนบางคนก็ไม่ได้รับการสั่งสอน โง่เขลาถึงขั้นไม่รู้จักการทักทายผู้อื่นเมื่อพบกัน ไม่เว้นแม้แต่เสี้ยนจู่อันผิง” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เพิ่งพูดวาจาดูถูกเหยียดหยาม แต่เมื่อเห็นฉินเย่จือหันมามองตนเอง นางพลันรู้สึกตกตะลึง
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เคยเห็นเขายิ้มให้นาง แต่นางไม่เคยสังเกตเห็นความเย็นชาในดวงตาของเขาเมื่อเขามองนาง นางตื่นเต้นมากจนไม่สามารถสงวนกิริยาไว้ได้ นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและมองไปที่ฉินเย่จืออย่างประหลาดใจ “พี่ใหญ่ฉิน”
นางมีความเขินอายอย่างหญิงสาว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นขั้นตอนต่อไป จู่ ๆ จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าริมฝีปากของนางรู้สึกเจ็บราวกับถูกเข็มทิ่ม และนางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด “อ๊า!”
ในคืนนี้เต็มไปด้วยเสียงจอแจของผู้คน เสียงร่ำไห้ที่น่าสังเวชนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยกมือปิดปากและกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างรีบเข้าไปปลอบจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ “อวิ๋นเอ๋อร์ อวิ๋นเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เอาแต่คร่ำครวญและไม่พูดอะไร ดวงตาคู่งามที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาพลันหันมองชายหนุ่มด้วยความเจ็บปวด จากนั้นชี้ไปที่คนข้างหน้าและตะโกน “พี่ใหญ่ซ่ง เป็นนางที่ทำข้า ปากข้าเจ็บมาก!”
กู้เสี่ยวหวานมองย้อนกลับไปและเห็นจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์นอนอยู่ในอ้อมแขนของชายคนนั้นที่นางเรียกว่าพี่ใหญ่ซ่งด้วยสีหน้าเจ็บปวด กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ฉินเย่จือ จากนั้นพวกเขาก็หันกลับมาและจับมือกัน
เมื่อเห็นว่าผู้ร้ายที่ทำให้ลูกพี่ลูกน้องขุ่นเคืองกำลังจะเดินจากไป ชายที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ซ่งก็รีบตะโกน “พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้ารังแกคนแล้วยังคิดจะจากหนีอีกหรือ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ให้คนมาจับพวกเขาไว้!”
จากนั้นผู้คนในฝูงชนเจ็ดหรือแปดคนที่แต่งตัวเหมือนกัน ซึ่งดูเหมือนคนรับใช้ก็ออกมาล้อมกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จืออย่างว่องไว