ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1362 ฝากไว้ก่อน
บทที่ 1362 ฝากไว้ก่อน
หากตอนนั้นถ้าหวานเอ๋อร์…
เขาไม่กล้าคิดเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย มันเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเขาทั้งเป็นเสียอีก เขารีบพุ่งเข้าไปอย่างสิ้นหวัง และตะโกนเรียกเสียงดัง “หวานเอ๋อร์! หวานเอ๋อร์!”
เสียงเรียกจากข้างในลอยเข้ามาในหู “ท่านพี่เย่จือ ข้าไม่เป็นไร มีเด็กอยู่ที่นี่”
พอได้ยินเสียงลูกแมวตัวน้อยของตนเองก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นว่ามีเด็กนอนร้องไห้อยู่บนเตียงหลังเล็ก
กู้เสี่ยวหวานรีบปลอบเขา “อย่าร้องไห้ พี่สาวจะพาเจ้าออกไป”
จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน และมีฉินเย่จืออุ้มนางในท่าเจ้าสาวอีกที ข้ามสิ่งกีดขว้างที่พร้อมจะตกลงมาได้ทุกเมื่อและรีบออกไปจากเปลวเพลิง
“ขอบคุณท่านเสี้ยนจู่ ท่านคือผู้มีพระคุณของข้า ท่านคือท่านพ่อท่านแม่ที่ให้กำเนิดลูกข้าอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ฮือ ฮือ ฮือ” เมื่อหญิงได้ยินลูกของตนเองพูดว่าอีกฝ่ายคือเสี้ยนจู่ นางจึงคุกเข่าลงต่อหน้ากู้เสี่ยวหวาน “เสี้ยนจู่ ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ และข้าจะตอบแทนบุญคุณของท่าน ไม่ว่าจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะยอมทำทุกอย่าง”
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ รีบปรี่เข้ามา และเมื่อพวกเขาได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนช่วยชีวิตเด็กไว้ พวกเขาทั้งหมดได้ยกย่องสรรเสริญ “ขอบคุณเสี้ยนจู่ ขอบคุณเสี้ยนจู่ เด็กคนนี้คือชีวิตของนาง ถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็… เฮ้อ…”
คนผู้นั้นไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ และมองไปที่เด็กในอ้อมแขนของหญิงผู้นั้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ผู้คนรอบข้างรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือทำ และบางคนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “คนที่ชนเสี้ยนจู่อันผิงดูเหมือนจะเป็นคนรับใช้ที่ถูกนายน้อยฉินจัดการในเมื่อครู่”
“ใช่แล้ว ข้าก็เห็น แม้ว่าสถานการณ์จะวุ่นวาย แต่ข้าก็สามารถเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นที่ชนเข้ากับเสี้ยนจู่ได้อย่างชัดเจน” ใครบางคนก็พูดขึ้นเช่นกัน
ครั้งนี้ฉินเย่จือรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน แววตาของเขานิ่งสงบ แต่หัวใจของเขากำลังรู้สึกปั่นป่วนแล้ว
ตระกูลจ้าว… ตระกูลจ้าวอีกแล้ว!
เมื่อกลับมาถึงสวนกู้ ทั้งฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมือง และเนื่องจากความมืด เสื้อผ้าของกู้เสี่ยวหวานที่มีเต็มไปด้วยคราบฝุ่นจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ฉินเย่จือถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วสวมทับร่างของกู้เสี่ยวหวาน
อาจั่วรู้เรื่องนี้ หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ นางก็รู้สึกหวาดกลัวมากจนลูกตาเกือบจะหลุดออกมา จากนั้นนางก็กำหมัดแน่น ดวงตาฉายแววดุร้าย
“หวานเอ๋อร์และข้ากำลังจะหมั้นกันในอีกสองวัน ในเวลานี้ ข้าไม่ต้องการให้มีปัญหาอีกต่อไป และข้าไม่ต้องการได้ยินข่าวร้ายในวันแห่งความสุขนี้” ฉินเย่จือแสดงความเป็นศัตรูออกมาอย่างเต็มเปี่ยม แต่เมื่อพูดถึงหวานเอ๋อร์ ความอ่อนโยนลึกล้ำก็ฉายแววในดวงตาของเขา
“ช่วงนี้เจ้าควรปกป้องหวานเอ๋อร์ให้ดี และหลังจากเสร็จสิ้นงานหมั้นก็ส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้กับตระกูลจ้าว” เมื่อฉินเย่จือกล่าวถึงตระกูลจ้าว ดวงตาของเขาก็มืดมนขึ้นทันที
อาจั่วตอบว่า “นายท่าน จานหงอวี้คนนั้นจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่งานหมั้นเสร็จสิ้นแล้ว เราค่อยให้นางลงมือ”
ฉินเย่จือพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ และทั้งห้องก็จมดิ่งสู่ความมืดอีกครั้ง ยกเว้นแสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง
ทันใดนั้น ฉินเย่จือก็ลืมตาขึ้น และแสงที่น่ากลัวก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา
หากกล้าที่จะแตะต้องคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของหัวใจเขา ก็ต้องโทษที่พวกเขารนหาที่ตาย
แสงเย็นวาบผ่านไป และเขาก็ได้ยินเสียงที่นุ่มนวลของหวานเอ๋อร์ดังมาจากประตูถัดไป เสียงที่นุ่มนวลราวกับคำสาปซึ่งทำให้หัวใจของเขาหลอมละลายลง และดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไป ความหนาวเย็นเมื่อครู่นี้ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
วันนี้อากาศร้อนจัด กู้เสี่ยวหวานกำลังเตรียมจะอาบน้ำ และนางไม่ชอบให้คนอื่นมาคอยปรนนิบัติ ยิ่งกว่านั้น เมื่อถึงเวลาอาบน้ำก็จะต้องเปลือยกาย แต่อาจั่วยืนกรานที่จะเข้ามา และนางก็ไม่สามารถขับไล่อาจั่วออกไปได้…
เมื่อไม่มีทางเลือก กู้เสี่ยวหวานทำได้เพียงให้นางอยู่ต่อ “เมื่อช่วยข้าถอดเสื้อผ้าชั้นนอกออกเสร็จ เจ้าก็ออกไปได้แล้ว”
อาจั่วตอบรับและเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อช่วยกู้เสี่ยวหวานถอดเสื้อผ้า นางไม่อยากแม้แต่จะกะพริบตาและมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเพื่อดูว่ามีแผลเป็นบนร่างกายของกู้เสี่ยวหวานหรือไม่
เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังและประหม่าของนาง กู้เสี่ยวหวานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “อาจั่ว ทำไมเจ้าถึงประหม่าขนาดนี้”
อาจั่วรู้ว่าตัวเองประหม่าเกินไป แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เจ้านายเตือนนางเมื่อครู่นี้ นางจ้องมองที่ผิวหนังทั่วร่างกายของกู้เสี่ยวหวานอย่างประหม่าอีกครั้ง
เมื่อกู้เสี่ยวหวานถอดเสื้อผ้าของนางออก และมีเพียงชุดชั้นในชิ้นสุดท้าย อาจั่วจ้องมองร่างกายของนางแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง
รอยฟกช้ำที่ข้อศอกทั้งสองข้างของกู้เสี่ยวหวานอาจเป็นเพราะนางถูกกระแทกจึงมีรอยฟกช้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ
อาจั่วจ้องไปที่รอยฟกช้ำทั้งสอง และกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว
เนื่องจากอาจั่วออกมาแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงไม่เห็นความทุกข์ใจและสายตาตำหนิตนเองในสายตาของอาจั่ว
โชคดีที่แขนมีรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อย่างนั้น…
เมื่อเห็นว่าร่างด้านหลังม่านก้าวเข้าลงไปอ่างอาบน้ำ อาจั่วปิดประตูหันหลังกลับและเดินไปที่ห้องของฉินเย่จือ
…
สำหรับจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ เมื่อนางได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานยังสบายดี และนางช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งไว้ ทั้งยังได้รับคำชมจากผู้คนมากมาย มันทำให้นางโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่ ทำไมกู้เสี่ยวหวานถึงมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ การผลักนางเข้าไปในกองไฟกลับไม่ได้เผานางจนตาย แต่ทว่าทำให้ชื่อเสียงของนางเพิ่มมากขึ้น ท่านพี่ ตอนนี้ข้ารอไม่ไหวแล้วที่จะฉีกนางเป็นชิ้น ๆ!” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ตะคอกอย่างดุร้าย นางดูไม่เหมือนคุณหนูของตระกูลอันสูงส่ง แต่เป็นผู้หญิงขี้อิจฉาตามท้องตลาด
“ดูเหมือนว่านางไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ แต่นางกลับมีทุกอย่าง หากไม่ใช่เพราะสถานะเสี้ยนจู่ นางคงไม่มีวันได้แต่งงานกับตระกูลจ้าวของเรา” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ตะคอกอย่างเย็นชา “แต่นี่พวกเรากลับต้องไปขอร้องนาง”
ตอนนี้บาดแผลของจ้าวจื่อเจี๋ยเกือบจะหายดีแล้ว หากแต่มันก็ทิ้งรอยแผลเป็นนูนเหลือไว้และไม่มีทางจะรักษาได้
บาดแผลบนร่างกายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว แต่ยังคงมีรอยแผลเป็นอยู่ตรงกลางใบหน้า เดิมทีมีดวงตาที่สวยงาม ตอนนี้กลับดูดุร้ายผิดปกติ