ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1363 ทำให้เสียโฉม
บทที่ 1363 ทำให้เสียโฉม
“หญิงน่าขยะแขยงอย่างกู้เสี่ยวหวาน หากข้าไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้นางไปเลย” จ้าวจื่อเจี๋ยเอ่ยอย่างดุร้าย จากนั้นมองไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ตอนนั้นพวกเจ้ามันโง่ หากพวกเจ้านำตัวนางไป แล้วฉินเย่จือมาพบได้อย่างไร โง่จริง ๆ แม้ว่าจะผลักนางเข้าไปในกองเพลิง แต่กลับทำอะไรนางไม่ได้ กลายเป็นว่าความซวยมาตกอยู่ที่เรา”
มีคนมารายงานแล้วว่าชาวบ้านหลายคนเห็นว่าคนที่ทำร้ายกู้เสี่ยวหวานเป็นคนของซ่งเหลียนเฉิง
ถ้าเป็นคนของซ่งเหลียนเฉิน แสดงว่ามาจากตระกูลจ้าว
การที่ฉินเย่จือไม่ได้เอาเรื่องตระกูลจ้าวในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เอาเรื่องตระกูลจ้าวในอนาคต ฉินเย่จือนับได้ว่าเป็นคนที่น่ากลัว
ใบหน้าของจ้าวจื่อเจี๋ยเต็มไปด้วยความดุร้าย รอยแผลเป็นบนใบหน้ายิ่งขับให้เขาดูน่ากลัว
“ท่านพี่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่นั่งข้างอยู่ ๆ รู้สึกถึงความสยดสยองที่พวยพุ่งออกมาจากตัวเขา
“กำลังทำอะไรอยู่น่ะรึ! หึ! ฉินเย่จือผู้นั้นชอบกู้เสี่ยวหวานไม่ใช่หรือ เขาไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่ พวกเราต้องรีบเผาพวกเขาให้ไม่เหลือซาก แล้วพวกเราจะพ้นภัย” จ้าวจื่อเจี๋ยหัวเราะอย่างน่ากลัว
รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าผี
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั้งตัว “ท่านพี่ ท่านอยากตายหรือ ทำเช่นนั้นท่านจะถูกตัดหัวเอาได้!”
“เหอะ! วันนี้พวกเจ้าผลักกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในกองเพลิง ทำไมเจ้าไม่คิดบ้างว่าถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และเจ้าจะถูกตัดหัว สุดท้ายเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี เช่นนั้นแล้วทำไมเราไม่ยืมมือคนอื่นสักสองสามคนล่ะ”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์มองไปที่จ้าวจื่อเจี๋ยและรู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังจะเป็นบ้า “ท่านพี่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ? ท่านกำลังจะลากตระกูลจ้าวลงเหวกันหมด”
จ้าวจื่อเจี๋ยเสียสติไปแล้ว ตั้งแต่เอาผ้าพันแผลออก เขาก็แทบจะเป็นบ้าตั้งแต่เห็นใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลากลายเป็นแบบนี้ “ต้องขอบคุณหญิงเลวคนนั้น ที่ข้ากลายเป็นแบบนี้เพราะกู้เสี่ยวหวาน ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ตอนนี้หน้าข้าคงไม่เป็นเช่นนี้”
จ้าวจื่อเจี๋ยพูดอย่างบ้าคลั่ง “อวิ๋นเอ๋อร์ ไปขอร้องลูกพี่ลูกน้องของเจ้า พี่ชายของเจ้าคนนั้นชอบเจ้าไม่ใช่หรือ ไม่ว่าเจ้าจะขอร้องอะไร เขาก็จะทำตามเจ้าทุกอย่าง เจ้าไปขอร้องเขาให้หาคนที่มีทักษะต่อสู้ระดับสูงมาให้ข้า”
“ท่านพี่ ท่านกำลังพูดถึงอะไร” แก้มของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กลายเป็นสีแดงอย่างอธิบายไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อซ่งเหลียนเฉิง
“อวิ๋นเอ๋อร์ ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้า ข้าต้องแก้แค้น”
“แต่ว่าท่านพี่ แล้วตระกูลจ้าว…” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังคงกังวลเล็กน้อย เพราะหากครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานถูกฆ่าตายจริง ๆ มันจะเป็นอาชญากรรมร้ายแรง
“เจ้าอย่ากลัวไปเลย” จ้าวจื่อเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลจ้าวก็ไม่เหลืออะไรแล้ว เป็นแค่เปลือกจอมปลอม มาใช้โอกาสนี้ฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวกันเถอะ”
เสียงของจ้าวจื่อเจี๋ยลดต่ำลงเรื่อย ๆ เขาโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วพูดอะไรบางอย่างกับจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยแววตาที่มีความสุขและเคร่งขรึม จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ค่อนข้างลังเลเล็กน้อยในตอนแรก แต่หลังจากที่จ้าวจื่อเจี๋ยเกลี้ยกล่อม นางก็พยักหน้าตอบรับ ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ข่าวที่ว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังจะหมั้นนั้นแพร่กระจายในร้านจิ่นฝู
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แม้ว่านางจะบอกว่างานหมั้นเป็นเพียงเรื่องธรรมดา และนางก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย แต่นางก็ต้องการให้ทุกคนรู้เรื่องนี้
สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติของนางที่มีต่อฉินเย่จือ
เมื่อนึกถึงวิธีที่ฉินเย่จือขอนางแต่งงานอย่างน่าเศร้าในตอนนั้น กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าทนไม่ได้
นางชอบฉินเย่จือ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการทำให้เขากังวลแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกับฉินเย่จือ หลังจากวางแผนล่วงหน้ามาหลายสิ่งแล้วที่จะขอนางหมั้น เขาก็ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่นางโดยธรรมชาติ เขาจะทนปล่อยให้นางผิดหวังด้วยความรักอันลึกซึ้งเช่นนี้ได้อย่างไร?
“พรุ่งนี้ก็จะถึงวันหมั้นแล้ว ถึงแม้ว่าเวลานั้นจะกระชั้นชิดไปหน่อย แต่ความคิดของเสี่ยวฉินนั้นก็มองไปข้างหน้าอย่างชัดเจน” กู้ฟางสี่กล่าวว่า “เสี่ยวฉินปฏิบัติต่อเจ้าดีมาก ถ้าเจ้าได้แต่งงานกับเขา ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลเมื่อข้าจากไป”
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าหัวใจและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสุข
“ท่านพี่ ท่านกับพี่ใหญ่ฉินจะหมั้นกันพรุ่งนี้ ท่านประหม่าหรือไม่” กู้เสี่ยวอี้แอบดีใจ
“เจ้าเด็กคนนี้ จะประหม่าอะไรเล่า พี่ใหญ่ฉินก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล” ป้าจางที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
“ใช่ ๆๆ ข้าเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ฉินไม่ได้แล้ว ข้าต้องเรียกท่านว่าพี่เขย” กู้เสี่ยวอี้จงใจเน้นเสียงคำว่า ‘พี่เขย’ ในตอนท้ายด้วยใบหน้าทะเล้น
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่ากู้เสี่ยวอี้กำลังแกล้งนาง คิ้วของนางขมวดแน่นและแสร้งทำเป็นโกรธเคือง “เสี่ยวอี้ เจ้านี่แก่แดดจริง ๆ แม้แต่พี่สาวอย่างข้าเจ้าก็กล้าล้อเลียน”
นางแสร้งทำเป็นเดินหน้าไปเพื่อที่จะจัดการกับกู้เสี่ยวอี้ กู้เสี่ยวอี้กระโดดขึ้นและวิ่งไปรอบ ๆ ห้อง พี่น้องสองคนวิ่งไล่ตามกันอย่างมีความสุขมาก
กู้ฟางสี่และป้าป้าจางรีบพูดว่า “ช้า ๆ หน่อย ระวังเจ็บตัวล่ะ”
แม้แต่อาจั่วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เบิกตากว้างราวกับกำลังดูเด็ก ๆ อย่างไม่ละสายตาจากกู้เสี่ยวหวานเพราะกลัวว่านางจะได้รับอันตรายจากการหกล้ม
กู้หนิงผิงเดินเข้ามาจากข้างนอก กู้เสี่ยวอี้เหนื่อยจากการวิ่ง นางจึงรีบวิ่งไปหาเขาพลางกรีดร้อง “ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย!”
กู้หนิงผิงรีบขวางเสี่ยวอี้ไว้ข้างหลังเขา แต่เมื่อเขาเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังไล่ตามนาง เขาก็รีบกระโดดออกไปคว้ากู้เสี่ยวอี้ไว้ “ท่านพี่ นางอยู่นี่ ข้าจับนางได้แล้ว!”
กู้เสี่ยวอี้โกรธเกรี้ยว นางกรีดร้องด้วยเสียงโหยหวน “ท่านพี่ใจร้าย ท่านกำลังกลั่นแกล้งข้า!”
กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ตรงนั้นก็วิ่งไปบีบใบหน้าสีชมพูของกู้เสี่ยวอี้เบา ๆ และพูดติดตลกว่า “หนิงผิง ช่วยข้าจับนางไว้แน่น ๆ นะ พี่สาวอย่างข้าขอคิดก่อนว่าจะจัดการอย่างไรดี”
“ท่านพี่โปรดยกโทษให้ข้าด้วย” กู้เสี่ยวอี้ร้องขอความเมตตา ในขณะที่นางรู้สึกจั๊กจี้ที่ต้นคอ
ปรากฏว่ากู้เสี่ยวหวานถือปุยนุ่นอยู่และเอาแต่แหย่ที่คอทำให้นางคันและจั๊กจี้
กู้เสี่ยวอี้หัวเราะคิกคักและร้องขอความเมตตา “ท่านพี่ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็หยุดลงและกู้หนิงผิงก็ปล่อยกู้เสี่ยวอี้ และการหยอกล้อกันระหว่างสามพี่น้องก็สิ้นสุดลง
กู้ฟางสี่และป้าจางหัวเราะไม่หยุด อาจั่วที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ไม่เป็นไรถ้าไม่ชนกันจนหกล้ม
เนื่องจากกู้เสี่ยวหวานกำลังจะหมั้น กู้หนิงอันจึงหยุดเรียนสองสามวันและกลับมาก่อนกำหนด
แม้จะมีการกล่าวว่าเป็นเพียงการรับประทานอาหารกับภายในครอบครัวเท่านั้น แต่แขกบางคนยังคงต้องได้รับเชิญ
อาจารย์สวีและฮูหยินสวี พี่สะใภ้ฝูจากร้านขายผ้าจี๋เสียง และเยว่เหนียงจากร้านหรูอี้ คนเหล่านี้ต่างก็เคยช่วยเหลือกู้เสี่ยวหวานในยามที่นางตกที่นั่งลำบาก และพวกเขาต่างเป็นคนที่นางเคารพ ดังนั้นจึงต้องเชิญพวกเขามาด้วย