ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1366 เส้นไหมหิมะ
บทที่ 1366 เส้นไหมหิมะ
ง่ามนิ้วมือของชายคนนั้นเต็มไปด้วยเลือด เพียงไม่นานก็ย้อมไปทั่วมือจนกลายเป็นสีแดงฉาน เขามองอาโม่ที่เยื้องย่างเข้ามาใกล้ด้วยความหวาดกลัว คิดอยากจะหมุนตัววิ่งจากไปแต่ก็ไม่มีกำลังมากพอ จึงได้แต่เบิกตามองอาโม่ที่จู่ ๆ เข้ามาคว้าไหล่ของเขาไว้อย่างแรงราวกับอยากจะบดขยี้กระดูกของเขา เขาได้แต่ร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดจนเกร็งไปทั่วทั้งตัว อยากจะคลายความเจ็บปวดนั้น มือที่ปิดปากจึงยื่นไปที่ไหล่ทันที พยายามที่จะหลุดพ้นพันธนาการของอาโม่
ทันใดนั้นเอง ในปากของเขาก็มีเม็ดกลม ๆ เข้ามาตามด้วยเสียงกรีดร้องจากนั้นก็กลืนเข้าไป
“เจ้า เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” ชายคนนั้นบีบคอแน่นพยายามที่จะอาเจียนมันออกมา อาโม่ตบที่ไหล่ของเขา ของสิ่งนั้นก็ถูกกลืนลงเข้าไปในท้องแล้ว
“มันคืออะไร เจ้าเอาอะไรให้ข้า อ๊า ๆ” ชายคนนั้นตะโกนแผดเสียงออกมา จากนั้นกลับไม่สามารถเอ่ยคำพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว ได้แต่ร้องอ๊า อ๊า อ๊า และจ้องมองด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเห็นท่าทางกลัวตายของเขา อาโม่ก็พูดอย่างเย็นชาด้วยความดูแคลน “วันนี้เป็นวันสำคัญของคุณหนูข้า ให้เจ้าได้ลองลิ้มรสความเจ็บปวดดู ถ้าหากเจ้ายังพูดจาไร้สาระอีกก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แค่ระวังว่าข้าจะตัดลิ้นเจ้าออกมาก็เท่านั้น”
กริชที่คมกริบในมือของอาโม่นั้นสะท้อนแสงแดด เขาพูดกับคนผู้นั้นอย่างไม่เกรงใจ
ชายคนนั้นหวาดกลัวมาก ดวงตาที่จ้องเขม็งนั้นแทบจะถลนหลุดออกจากเบ้า ในตอนนี้เขาไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ได้เพียงแต่ส่งเสียงร้องอ๊า อ๊า อ๊า คนพวกนั้นที่คอยติดตามมาช่วยเขาเมื่อครู่นี้ก็ไม่รู้ว่าวิ่งหนีไปไหนนานแล้ว พอมองไปรอบ ๆ ก็เหลือเพียงเขาแค่คนเดียว
ผู้คนรอบด้านที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็ปรบมืออย่างชื่นชม
ไม่มีเสียงที่เอะอะโวยวายแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
เพียงไม่นานก็มาถึงทางเข้าของร้านจิ่นฝู
คนของร้านจิ่นฝูนำโดยเหลียงอวี้เฉิง ทั้งหมดนั้นอยู่ในชุดเครื่องแบบ ตรงเอวผูกผ้าแพรสีแดงผืนใหญ่เอาไว้ คอยต้อนรับอยู่ที่ประตูอย่างเคร่งขรึม
ฉินเย่จือพลิกตัวลงจากม้า ก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปที่หน้าเกี้ยว เปิดม่านออกแล้วช้อนตัวกู้เสี่ยวหวานไว้และอุ้มกู้เสี่ยวหวานออกจากเกี้ยวภายใต้สายตาของทุกคน
ทั้งคู่สวมชุดสีแดงปรากฏตัวออกมาต่อหน้าทุกคน
กู้เสี่ยวหวานคิ้วตาดั่งกับภาพวาด โอบคอของฉินเย่จือเอาไว้ ใบหน้าแดงก่ำงดงามราวกับเป็นเทพเซียนตกลงจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น ทั้งสองเหมาะสมกันยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยกจนทำให้ผู้คนทอดถอนใจ
แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะถูกอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน แต่ว่าดวงตากลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน
พรมปูพื้นสีแดงเข้มปูตรงเป็นทางยาวจากทางเข้าของร้านจิ่นฝูไปยังด้านนอกและตกลงอยู่ตรงใต้เกี้ยวอย่างพอดี
โคมไฟขนาดใหญ่และผ้าแพรไหมสีแดงมงคลแขวนอยู่เต็มร้านจิ่นฝู ทำให้บรรยากาศดูน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากคนงานในร้านจิ่นฝูแล้ว ยังมีแขกที่กู้เสี่ยวหวานเชิญมาเองก็ยืนอยู่ตรงทางเข้าร้าน มองพวกเขาทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่ยินดีด้วย
คู่สามีภรรยาสวีเซียนหลิน ยังมีสะใภ้ฝูและเยว่เหนียง แต่ละคนนั้นแต่งตัวจัดเต็มยืนอยู่ตรงทางเข้าเพื่อต้อนรับพวกเขา
เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นนางยิ้ม กู้เสี่ยวหวานก็ยิ่งเขินอายจนหน้าแดงขึ้น “ท่านปล่อยข้าลงเถอะ ข้าจะเดินไปเอง มีคนมองตั้งมากขนาดนี้” นางขมวดคิ้วเบา ๆ เหมือนกับไม่พอใจอย่างไรอย่างนั้น
“นี่เป็นกฎ ไม่อาจทำลายกฎได้” ฉินเย่จือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน” กู้เสี่ยวหวานย่นคิ้ว กลัวว่าตัวเองจะได้ยินผิดแล้ว “ผู้ใดเป็นคนพูด”
“คู่หมั้นของเจ้าเป็นคนพูด เพิ่งกำหนดเองเมื่อครู่นี้” ฉินเย่จือแอบยิ้มและเห็นแมวน้อยย่นคิ้วอีกครั้ง มือข้างหนึ่งก็หยิกเนื้อใต้แขนของเขา เมื่อเห็นท่าทางที่อดกลั้นความเจ็บของเขา ในใจกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกดีอย่างมากจึงยิ้มให้เขาอย่างลำพองใจ
ฉินเย่จือเห็นท่าทางที่ซุกซนของนาง รอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งล้ำลึกมากขึ้น ท่าทางทั้งเอ็นดูทั้งรักใคร่ราวกับว่าในโลกนี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคนอย่างไรอย่างนั้น
“ใช่แล้ว คนเมื่อครู่นี้นั้น เหตุใดเขาจึงพูดออกมาไม่ได้แล้ว” กู้เสี่ยวหวานถามเบา ๆ ด้วยความแปลกใจ
“ให้เขากินอะไรบางอย่างจึงทำให้เขาเป็นใบ้ไปสักพัก รอให้ยาหมดฤทธิ์ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” ฉินเย่จือกล่าว
“ของที่ดีเช่นนี้เอามาจากที่ใดกัน”
“ข้าขอให้หมอพานทำขึ้นมาให้ ถ้าหากว่าเจ้าอยากได้ก็จะให้เจ้าสักสองสามเม็ด”
“ก็ดี รอวันไหนท่านทำให้ข้าไม่พอใจแล้ว ข้าก็ใส่สักเม็ดสองเม็ดเพื่อไม่ให้ท่านรังแกข้าอีก” กู้เสี่ยวหวานตอบเหอะ ๆ ด้วยสีหน้าที่ร้ายกาจ
ฉินเย่จือได้ยินแล้วก็มองกู้เสี่ยวหวานอย่างอ้อยอิ่ง คิ้วและดวงตาของกู้เสี่ยวหวานนั้นก็งดงามอย่างยิ่งดั่งภาพวาด
การกระทำของทั้งสองตกอยู่ในสายตาของคนอื่น ๆ ช่างดูงดงามและหวานชื่นกันเสียจริง ๆ
“เจ้าดูพวกเขาสองคนสิ ดูมีความสุขกันมากจริง ๆ ช่างเป็นคู่ที่สวรรค์สรรสร้างแท้ ๆ” ฮูหยินสวีเอ่ย ในสายตานั้นมีทั้งความยินดีและการอวยพร แต่ก็มีความอิจฉาที่คนอื่น ๆ มองไม่ออกด้วย
“ใช่แล้ว ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ๆ” เยว่เหนียงที่อยู่ข้าง ๆ ก็กล่าวอย่างอิจฉา
ทันใดนั้น เยว่เหนียงก็มองอย่างตกตะลึง ดึงสะใภ้ฝูที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความประหลาดใจอย่างไม่อยากจะเชื่อและพูดว่า “พี่สาว ท่านดูชุดนั้นบนตัวของเสี่ยวหวานสิ”
เสียงนั้นมีความตื่นเต้นและสั่นไหวเล็กน้อย
สะใภ้ฝูมองกู้เสี่ยวหวานมาตลอดตั้งแต่ที่กู้เสี่ยวหวานออกจากเกี้ยว ชุดบนตัวนางนั้นเป็นวัสดุที่หายากมาก ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยว่เหนียง นางก็ถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าจะบอกว่า…”
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ท่านดูลายเส้นของวัสดุและความมันวาวนั่นสิ ข้ากล้าเชื่อเลยว่าจะต้องใช่อย่างแน่นอน” เยว่เหนียงปรบมืออย่างตื่นเต้นแล้วมองชุดของกู้เสี่ยวหวานด้วยความสนใจ “ข้าไม่เคยเห็นวัสดุนี้มาก่อน แค่ได้ยินคนอื่นพูดถึงเท่านั้น หรือว่าสวรรค์ได้เปิดทางให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเราพี่น้องได้พบได้เห็นแล้ว”
“ชุดของเสี่ยวหวานนั้นมีปัญหาอะไรหรือ” ฮูหยินสวีที่อยู่ข้าง ๆ เห็นพวกนางกระซิบกระซาบกันอยู่ตั้งนาน ทั้งยังตื่นเต้นดีอกดีใจจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรก
“ฮูหยินสวีไม่รู้อะไรแล้ว ถ้าหากว่าพวกเราสองพี่น้องเดาไว้ไม่ผิด วัสดุของเส้นไหมหิมะนั้นพ่นออกมาจากเลือดของตัวไหมที่เลี้ยงไว้ด้วยหิมะอันหนาวเหน็บในภูเขาเทียนซาน ผ้านั้นนุ่มและเบาราวกับหิมะ เมื่อสวมใส่แล้วจะนุ่มและเย็นสบาย นอกจากนี้เนื้อสัมผัสก็เหมือนกับหิมะ เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดก็จะบริสุทธิ์ราวกับหิมะ วัสดุชนิดนี้ ผ้าหนึ่งพับมีราคาเทียบเท่ากับทองนับหมื่นชั่งและหาได้ยากมากบนโลก” เยว่เหนียงพูดเบา ๆ อย่างมั่นใจ
“เส้นไหมหิมะมีราคาเทียบเท่ากับทองนับหมื่นชั่ง” ฮูหยินสวีตกตะลึงมาก มองชุดที่กู้เสี่ยวหวานใส่ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง ตอนแรกยังอยากจะถามให้ชัดเจนมากกว่านี้ แต่เมื่อเห็นพวกเขามาแล้วก็ได้แต่กลืนคำพูดลงไป