ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1367 แค่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า
บทที่ 1367 แค่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า
ตามพิธีแล้ว เดิมทีฉินเย่จือแค่ต้องจูงมือกู้เสี่ยวหวานออกจากเกี้ยวเท่านั้น จะไปรู้ได้อย่างไรว่าฉินเย่จือจะช้อนตัวอุ้มกู้เสี่ยวหวานเดินเข้าไปในร้านจิ่นฝูตรง ๆ
กู้ฟางสี่และป้าจางที่ตามหลังมาเห็นเหตุการ์ณนี้ก็ตกตะลึง “โธ่… ยังไม่ได้จับมือข้ามธรณีประตูด้วยกันเลย”
กู้หนิงผิงที่ตามมาข้างหลังก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านอา ท่านป้า นี่อุ้มคนข้ามธรณีประตูไปแล้ว จะยังสนใจทำไมว่าจะยังจับมือหรือว่าไม่ได้จับมือเล่า”
กู้ฟางสี่และป้าจางก็ได้แต่ยอมแพ้และเดินตามหลังฉินเย่จือเข้าไปในร้านจิ่นฝู
จากนั้นก็เป็นฉือโถวและอาโม่ยืนแจกขนมลูกอมอยู่ตรงทางเข้าร้านจิ่นฝู ผู้คนที่ได้รับขนมลูกอมแล้วก็พูดจาเป็นสิริมงคลเอาใจไม่หยุด
เมื่อมาถึงด้านในร้านจิ่นฝู บนโต๊ะกลมขนาดใหญ่ก็เต็มไปด้วยอาหารหน้าตาน่ากิน
ฉินเย่จือจึงปล่อยกู้เสี่ยวหวานลง อาจารย์สวีและพวกเขาที่ตามหลังมาก็เข้ามา กู้เสี่ยวหวานรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำความเคารพพวกเขา “อาจารย์สวี ฮูหยินสวี พี่สะใภ้ฝู เยว่เหนียง”
เมื่อเห็นทีไรสวีฮูหยินก็จะจับมือของกู้เสี่ยวหวานเอาไว้ไม่ปล่อย มองขึ้น ๆ ลง ๆ และพูดจากใจว่า “เสี่ยวหวาน วันนี้เจ้างดงามมากจริง ๆ”
กู้เสี่ยวหวานยิ้มพลางตอบว่า “ขอบคุณฮูหยินสวี”
ทุกคนนั่งลงทีละโต๊ะ หลังจากที่คนของร้านจิ่นฝูและแขกที่โต๊ะอื่น ๆ นั่งลงหมดแล้ว กู้เสี่ยวหวานกับฉินเย่จือก็ยืนขึ้น ในมือถือจอกสุรากล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ญาติและเพื่อน ๆ ทุกคน วันนี้ข้ากับพี่เย่จือได้หมั้นกันแล้ว เดิมทีคิดอยากจะนั่งทานข้าวด้วยกันกับคนในครอบครัวและก็ไม่ได้คิดว่าจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ก็พูดคุยแสดงน้ำใจกัน ก็หวังว่าทุกท่านจะกินกันอย่างเต็มที่”
พูดจบก็ดื่มหมดจอก แล้วทุกคนก็ยกจอกขึ้นดื่มเหล้าจนหมด
หลังจากงานเลี้ยงที่ทุกคนกินดื่มกันอย่างมีความสุข พูดแสดงความยินดีกันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งทุกคนดื่มกันพอใจแล้ว จึงพากันแยกย้ายกันจากไป
ก่อนจากกัน กู้เสี่ยวหวานกับฉินเย่จือยืนอยู่ที่ประตูคอยยืนส่งฮูหยินสวีและพวกเขา เยว่เหนียงและสะใภ้ฝูดึงกู้เสี่ยวหวานและมองชุดของนางขึ้น ๆ ลง ๆ ยิ่งเห็นก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ “เสี่ยวหวาน ชุดนี้เอามาจากที่ไหนหรือ”
กู้เสี่ยวหวานชี้ไปที่ฉินเย่จือที่กำลังพูดคุยกับสวีเซียนหลินอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดว่า “เขาทำตามขนาดตัวของข้า เกิดอะไรขึ้นมีอะไรไม่ถูกต้องหรือ”
การแสดงออกของพี่สะใภ้ฝูและเยว่เหนียงทำให้กูเสี่ยวหวานแปลกใจจึงรีบถาม
“เสี่ยวหวาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสื้อผ้าชุดนี้บนตัวเจ้านั้นทำมาจากวัสดุอะไร” เยว่เหนียงระงับความตื่นเต้นไว้ในใจแล้วถาม
“อะไรหรือ” กู้เสี่ยวไม่รู้หรอกว่าชุดที่ตัวเองใส่อยู่นั้นทำมาจากอะไร รู้เพียงแค่ว่าชุดนี้นุ่มและเย็น เมื่อสวมใส่บนตัวแล้วก็รู้สึกสบายอย่างมาก
“จุ๊ ๆ เสี่ยวหวานเอ๋ย วัสดุนี้เป็นเส้นไหมหิมะ มีทองนับหมื่นก็ยากที่จะหาไหมหิมะมาได้สักตัว” เยว่เหนียงจุ๊ปากพูด “ก่อนหน้าข้าเคยได้ยินอาจารย์บอกว่าโลกนี้มีวัสดุเช่นนี้ด้วย แต่ก็ไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนเลย ตอนนี้กลับได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ แล้ว”
“เส้นไหมหิมะ” กู้เสี่ยหวานได้ยินชื่อนี้ก็เบิกตากว้างเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าวัสดุนี้มีทองนับหมื่นก็ยากที่จะหามาได้ก็แทบไม่ยากจะเชื่อ “เยว่เหนียง ท่านมองผิดแล้วหรือไม่ วัสดุนี้…”
“ไม่หรอก ไม่หรอก ข้าส่งมอบผ้ามาตั้งหลายปี วัสดุอะไรข้าแค่ใช้มือสัมผัสและมองด้วยตา ข้าก็รู้ราคาและที่มาของวัสดุแล้ว แม้ว่าเส้นไหมหิมะนี้ข้าจะเคยได้ยินมาเพียงแค่ชื่อไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน แต่ว่าข้ารับรองว่าข้าไม่มีทางมองผิดว่านี่คือเส้นไหมที่พ่นออกมาจากเลือดตัวไหมที่เลี้ยงไว้ของภูเขาเทียนซาน เพราะว่ารูปร่างนั้นเหมือนกับเลือดและหิมะ ทั้งสีแดงและแวววาวอย่างกับหิมะ ข้าไม่มีทางมองผิดแน่” เยว่เหนียงพูดอย่างมั่นใจมาก
พี่สะใภ้ฝูที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าพลางพูดว่า “ใช่แล้วเสี่ยวหวาน ข้าเองก็คงมองไม่ผิดว่านี่เป็นเส้นไหมหิมะ ลักษณะของมันทั้งหมดนั้นตรงกับเส้นไหมหิมะ ตัวไหมนี้พ่นไหมออกมาเป็นสีแดง นอกจากนี้ยังบริสุทธิ์และแวววาวอย่างกับหิมะไม่มีทางผิดอย่างแน่นอน”
หลังจากที่กู้เสี่ยหวานได้ฟังก็ตกใจมาก มองเสื้อบนร่างกายอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วมองฉินเย่จือที่พูดคุยกับสวีเซียนหลินอีกครั้ง แม้ว่าเขากำลังพูดคุยอยู่กับสวีเซียนหลิน แต่ว่าสายตาก็มองมาทางนี้บ่อย ๆ ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าส่งแขกทั้งหมดกลับไปอย่างไร รู้เพียงแค่ว่าสุดท้ายนางกับฉินเย่จือก็นั่งรถม้าคันเดียวกันกลับไปสวนกู้ ระหว่างทางกลับไปนั้น ในที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็อดเอ่ยปากถามฉินเย่จือไม่ได้ “พี่เย่จือ เสื้อชุดนี้เอามาจากที่ใด ได้ยินมาว่าวัสดุนี้เป็นเส้นไหมหิมะ นอกจากนี้มีทองนับหมื่นก็ยังยากที่จะหามาได้ ท่านเอามาจากที่ใดกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยากรู้เกี่ยวกับฉินเย่จืออย่างลึกซึ้ง
ฉินเย่จือเห็นกู้เสี่ยวหวานถามตัวเองอย่างจริงจังจึงยิ้มแล้วพูดว่า “แม้ว่าวัสดุนี้จะล้ำค่ามาก แต่ก็ไม่ได้ล้ำค่ามากอย่างที่เจ้าพูด มีทองนับหมื่นก็ยากที่จะหามาได้เสียที่ไหนกัน นี่ไม่ใช่ว่าได้มาแล้วหรือ”
“พี่เย่จือ ข้าถามท่านว่าวัสดุนี่เอามาจากที่ไหนกัน” กู้เสี่ยวหวานเห็นฉินเย่จือไม่ตอบคำถามของตัวเองก็คาดคั้นอีก
เมื่อได้ยินว่าวัสดุนี่หายากเช่นนี้ จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็นึกขึ้นได้ว่าในช่วงเวลานั้น ฉินเย่จือออกไปแต่เช้าและกว่าจะกลับมาก็ค่ำมืด ถึงขนาดไม่กลับมาตั้งหลายวัน พอกลับมาแล้วก็เหนื่อยจนหมดสติ
“ใช่ช่วงเวลานั้นที่ท่านวิ่งเต้นอยู่ข้างนอก ท่านไปหามันมาใช่หรือไม่” กู้เสี่ยวหวานมองหน้าฉินเย่จือแล้วถามอย่างปวดใจ
ฉินเย่จือพยักหน้า “อืม วัสดุนี้ทั้งหมดในโลกมีเพียงแค่สองพับเท่านั้น พับหนึ่งถูกใช้ไปแล้ว ยังเหลืออีกพับหนึ่ง อยู่ในมือของคนคนหนึ่ง ข้าซื้อมาจากมือของเขา”
แม้ว่าการวิ่งเต้นในครั้งนี้จะมีความยากลำบากมากขนาดไหน ฉินเย่จือก็ไม่อยากให้กู้เสี่ยวหวานรู้
อยากให้นางรออย่างสบายใจ รอที่จะเป็นคู่หมั้นที่สวยที่สุดของเขาก็พอแล้ว
“ลำบากมากใช่หรือไม่” จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็โผเข้าไปในของอ้อมแขนของฉินเย่จือและร้องไห้ขึ้นมา “ก็แค่งานหมั้นเท่านั้นเอง ทำไมท่านถึงโง่เง่าเช่นนี้”
“ข้าจะแต่งงานกับเจ้า ข้าก็ย่อมต้องมอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกให้แก่เจ้า” ฉินเย่จือกอดคนในอ้อมแขนพลางมองชุดทั้งสองแล้วพูดอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้าคือสิ่งที่ดีที่สุดในโลกของข้า ที่ข้าอยากมอบให้เจ้า”
ข้ารักเจ้า ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก ข้าก็ต้องอยากมอบให้แก่เจ้า
ไม่มีเหตุผลอะไร ก็แค่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า ให้เจ้าได้มีความสุขมากที่สุด