ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 137 ทุบตีซุนซื่อ
ตอนที่ 137 ทุบตีซุนซื่อ
ตอนที่ 137 ทุบตีซุนซื่อ
ซุนซื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานยืนกอดอกดูอยู่ข้าง ๆ จึงสาปแช่งรัวเร็ว “พวกเจ้าไม่ตายดีแน่ ข้าอุตส่าห์เห็นอกเห็นใจพวกเจ้าแท้ ๆ แม้พวกเจ้าไม่เห็นค่าก็เป็นไร แต่ยังจะมาทุบตีกันอีก ทุกคน มีคนตีข้า ทุกคน มีคนตีข้า!”
เสียงของซุนซื่อดังกึกก้อง ทำลายความเงียบสงบของเช้าวันนี้
“มาเร็ว รีบมาเร็ว มีคนตีข้า มีคนตีข้า……” ช่วงนี้ของเดือนแรกเป็นเวลาที่ชาวบ้านบางคนกำลังจะไปอวยพรปีใหม่ ถ้าบ้านเดิมอยู่ไกลพวกเขาจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ครั้นเวลานี้ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนชวนให้คิดว่ามีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น พวกเขาจึงรีบไปตามเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว และก็เห็นซุนซื่อนั่งกองอยู่ที่ประตูรั้วด้วยสภาพที่เผ้าผมยุ่งเหยิง โดยที่กู้เสี่ยวหวานและน้องชายก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาเดือดแค้นราวกับว่าต้องการจะกลืนกินซุนซื่อทั้งเป็น
พวกเขารู้สึกสับสนในใจ ช่วงเวลานี้ครอบครัวกู้มีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายไม่รู้จบ
เพียงไม่กี่วันก็มีการต่อสู้ระหว่างสะใภ้ ต่อมาก็การต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยา คราวนี้เกิดอะไรขึ้นอีก? เหล่าผู้คนเฝ้ามองซุนซื่อที่ทรุดตัวลงกับพื้นและคร่ำครวญ เป็นไปได้ไหมว่าครั้งนี้มีสงครามระหว่างลุงกับหลานชาย?
ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ลุงกับหลาน มันคือสงครามระหว่างป้าสะใภ้กับหลานชายหรือ?
พวกเขามองกู้หนิงผิงที่ถือไม้กวาดและแสดงสีหน้าโกรธเคือง ไม่รู้ว่าเขาโกรธอะไรมาจนใบหน้าแดงก่ำ และยังจ้องไปที่ซุนซื่อราวกับว่าเขาจะกลืนกินนางทั้งเป็น
เมื่อมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง แม้ใบหน้าของนางจะไม่ได้แสดงออกเกินจริง แต่ดวงตาเย็นชาของนางกลับทำให้คนมองรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งสันหลัง
เสียงคร่ำครวญของซุนซื่อทำให้ฝูงชนทยอยมายังที่เกิดเหตุเรื่อย ๆ จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ปกติแล้วทิศตะวันตกของหมู่บ้านจะไม่ค่อยมีคน แต่คราวนี้ผู้คนกลับหลั่งไหลมาที่หน้าประตูบ้านของกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อเห็นผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซุนซื่อก็เริ่มเรียกร้องความสนใจมากขึ้น ร้องโหยหวนยิ่งกว่าเดิม “โอ้สวรรค์ ทุกท่านเอ๋ย พวกท่านตัดสินดู ตัดสินดู เด็กบ้าพวกนี้ของครอบครัวรองตระกูลกู้จะทุบตีข้าให้ตายแล้ว โอ๊ย โอ๊ย……”
ซุนซื่อกำลังเจ็บร้าวไปทั้งหัวไหล่ กู้หนิงผิงคนนี้กล้าลงมืออย่างโหดเหี้ยมจริง ๆ
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าน้องชายทุบตีมาหลายทีแล้ว นางก็รีบห้าม “เอาล่ะ หนิงผิง พอได้แล้ว”
ด้วยน้ำเสียงของซุนซื่อแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกชาวบ้านอีกกี่คนในภายหลัง ถ้าชาวบ้านพบว่ากู้หนิงผิงไม่เคารพผู้อาวุโส ทุบตีผู้อาวุโสที่นี่ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านที่ไร้เหตุผลเหล่านั้นจะเอาไปพูดน่าเกลียดอย่างไร
ไม้กวาดของกู้หนิงผิงตีไปตามเนื้อตัวของซุนซื่อ ขณะที่ปลายไม้กวาดก็เกี่ยวผมของซุนซื่อทุกครั้ง เรือนผมของซุนซื่อจึงยุ่งเหยิงไปหมด เมื่อตอนที่ซุนซื่อมา นางได้หวีผมอย่างพิถีพิถัน แต่ตอนนี้สภาพนางกลับดูเหมือนหญิงบ้า เมื่อมองตามร่างกายอีกครั้งก็พบว่ากิ่งก้านของไม้กวาดได้เกี่ยวเสื้อตัวนอกจนขาดหลายจุด
ซุนซื่อมองท่าทางของกู้หนิงผิง ในขณะนั้นนางกลัวกู้หนิงผิงจริง ๆ และสายตาเย็นชาของกู้เสี่ยวหวานก็เจาะตรงเข้าไปในหัวใจของซุนซื่อราวกับใบมีดที่แหลมคม หัวใจของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน ซุนซื่อก็กลับมารู้สึกตัวและตะโกนสุดเสียงว่า “ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
กู้หนิงผิงหยุดมือและมองดูซุนซื่อที่กรีดร้องอย่างเย็นชา
มีชาวบ้านมามุงดูมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเห็นผู้คนมากขึ้น ซุนซื่อก็ร้องโหยหวนทันที “พวกท่านมาตัดสินดูเถิด ลูกของกู้ฉวนฟู่นี้เป็นหมาป่าตาขาวจริง ๆ!”
ฝูงชนกระซิบเมื่อเห็นท่าทางที่น่าอับอายของซุนซื่อ และเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่พอใจของกู้เสี่ยวหวานและน้องชาย พวกเขาทั้งหมดก็ชี้นิ้วตำหนิ
กู้เสี่ยวหวานบ่นในใจอย่างเย็นชา ซุนซื่อคนนี้ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ แต่ช่างเก่งเรื่องสร้างข่าวลือเก่งเหลือเกิน ในเมื่อนางแสดงได้ดีขนาดนี้ทำไมถึงไม่ไปเป็นนักแสดงเลยล่ะ ช่างน่าเสียดาย
ซุนซื่อมีน้ำมูกและน้ำตานองหน้า “วันนี้ข้ามาเยี่ยมลูก ๆ ของกู้ฉวนฟู่ เพื่อดูว่าปีใหม่ของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ข้ายังไม่ได้ถามสักคำ เด็กบ้าคนนี้ก็หยิบไม้กวาดมาตีข้า! โอ๊ย สวรรค์ ช่างเป็นการเอาหัวใจคนซื่อสัตย์ไปแลกกับตับและปอดของลา*แท้ ๆ สวรรค์!”
*ตีความว่า ความปรารถนาดีของคนบางคนเป็นเจตนาร้าย
ซุนซื่อร้องไห้อย่างน่าสงสาร ประกอบกับเผ้าผมที่ยุ่งเหยิงและร่างกายสกปรกมอมแมม ทำให้ผู้คนต่างกระซิบกระซาบ
“วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับซุนซื่อ ทำไมจู่ ๆ ถึงเกิดใจดีมาดูแลลูก ๆ ของกู้ฉวนฟู่?”
“ใช่แล้ว ข้าไม่เคยเห็นนางมาเยี่ยมพวกเขาเลย ทำไมวันนี้เกิดใจดีมาเยี่ยมเด็ก ๆ ขึ้นมา?”
ชาวบ้านผู้สังเกตการณ์รู้ว่าปกติแล้วเด็กพวกนี้อาศัยอยู่อย่างไร พวกเขาติดต่อกับใคร และใครมาช่วยพวกเขา
ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนอย่างซุนซื่อจะมาให้ความช่วยเหลือเด็กพวกนี้ด้วย
ซุนซื่อกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงใจดีได้ขนาดนี้
ทุกคนยังคงคาดเดาอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่เชื่อ ซุนซื่อก็ยิ่งร้องไห้ และท่าทางที่น่าสงสารของนางก็หลอกคนได้ง่ายมาก “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่เชื่อข้า โทษว่าข้าไม่เคยมาดูแลพวกเจ้า แต่ข้าก็ลำบากเหมือนกัน โทษข้าที่มาช้าไปใช่ไหม?”
ท่าทางที่ดุดันของซุนซื่อตอนนี้กลับกลายเป็นโศกเศร้าเพราะพวกเด็ก ๆ ไม่เข้าใจนาง
“เสี่ยวหวาน มันเป็นเรื่องยากสำหรับข้า ข้าอยากมาเยี่ยมตั้งนานแล้ว แต่ยังมีลูกสองคนในครอบครัวที่ต้องกินข้าว ส่วนเหวินเอ๋อร์ต้องไปเรียน ทุกเดือน และต้องจ่ายให้สำนักศึกษาหลายตำลึง ข้าไม่มีเงินจริง ๆ อย่าโทษข้าเลย ข้าแค่หวังว่าลูกพี่ลูกน้องของพวกเจ้าจะสอบซิ่วไฉได้ ถึงเวลานั้นพวกเจ้าจะมีความสุขกันถ้วนหน้า……”
ซุนซื่อเปลี่ยนคำพูดจากก่นด่ากู้หนิงผิงด้วยท่าทางอย่างดุร้ายให้กลายเป็นคนที่อ่อนน้อมและน้อยใจเล็กน้อยให้ดูเหมือนว่าที่นางไม่ได้มาดูแลเด็ก ๆ เพราะเพื่อต้องดูแลลูก ๆ ของนางเพื่อวางแผนชีวิตในอนาคต
แน่นอนว่าผู้คนรอบ ๆ กระซิบและชี้มือชี้ไม้ทันที ในตอนแรกสงสัยในตัวซุนซื่อ แต่ตอนนี้ก็ลังเลเล็กน้อย และบางคนก็ชี้ไปที่พวกกู้เสี่ยวหวานและกระซิบกระซาบกัน
กู้เสี่ยวหวานอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ นางควรปรบมือให้กับความเห็นอกเห็นใจของซุนซื่อจริง ๆ ที่สามารถเข้าถึงจิตใจของผู้ชมเช่นนี้ได้ นางช่างมีความสามารถจริง ๆ และทักษะการแสดงของนางก็ดีมาก ถ้าเป็นยุคอนาคต หญิงคนนี้ต้องได้ถ้วยรางวัลออสการ์แน่ ๆ
“ที่แท้นั่นก็คือสิ่งที่ซุนซื่อหมายถึง เฮ้อ ไม่น่าแปลกใจที่นาง……”
“ใช่แล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าครั้งที่แล้วกู้ฉวนลู่ให้เงินกับกู้ฉวนโซ่วสิบตำลึงเงิน แต่ซุนซื่อก็ไม่ได้ทวง……”
“อะไรนะ? เจ้าหมายความว่าอย่างไร สิบตำลึงเงินและไม่ต้องจ่ายคืนหรือ?”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แสดงเก่ง เล่นละครเก่งนักนะนังซุน หมั่นไส้
ไหหม่า(海馬)