ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1370 ไปบ้านตระกูลจ้าว
บทที่ 1370 ไปบ้านตระกูลจ้าว
ทันทีที่พูดจบก็เห็นฉือโถวหันหลังกลับแล้วเดินจากไป
ลูกจ้างคนนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่ แม่นางกู้มาแล้ว”
ฉือโถวเดินออกไปไกลแล้ว แต่เมื่อเขาได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานมาแล้วก็รีบหันหลังกลับ และเดินตรงเข้าไปในร้าน
ประจวบเหมาะกับที่กู้เสี่ยวหวานเดินมาถึงหน้าประตู เมื่อเห็นฉือโถวตัวสั่นสะท้านด้วยความกระวนกระวาย “ยังหาหนิงอันไม่เจอหรือ”
ฉือโถวพยักหน้า “อืม แต่เสี่ยวหวานเจ้าอย่าพึ่งกังวลไป หนิงอันโตแล้ว บางทีเขาอาจจะเห็นอะไรที่น่าสนใจแล้วลืมเวลาไป ต้องไม่เกิดเรื่องกับเขาแน่นอน ข้าจะออกไปตามหาเขาเอง”
พูดจบก็หันหลังแล้วเดินออกไป
“พี่ฉือโถว ท่านรอก่อน” กู้เสี่ยวหวานเรียกเขาไว้แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าหนิงอันไม่ได้ตั้งใจซ่อนตัวแน่นอน ถ้าพวกท่านยังหาต่อไปแบบนี้ เกรงว่าหาอย่างไรก็หาไม่พบ”
“เสี่ยวหวาน เจ้าหมายว่าอย่างไร” หลังจากที่ฉือโถวฟังแล้วก็มองกู้เสี่ยวหวานด้วยความงุนงง แล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่ามีคนจับตัวหนิงอันไปหรือ?”
“นิสัยของหนิงอันพวกเรารู้ดี นอกจากอ่านหนังสือแล้ว วันธรรมดาเขาไม่มีงานอดิเรกอื่น อีกทั้งเขายังบอกอาจารย์สวีว่าจะกลับบ้าน เขาก็ต้องกลับบ้านแน่นอน ถ้าเขาเปลี่ยนใจที่จะไม่กลับบ้าน เขาจะต้องส่งข่าวมาบอกพวกเราอยู่แล้ว หนิงอันมีนิสัยสุขุม สงบ และถ้าไม่มีสถานการณ์อะไรที่พิเศษ เขาจะไม่ทำให้พวกเรากังวลแน่นอน ดังนั้นข้ายืนยันว่าเขาต้องเจอเรื่องอะไรที่ไม่สามารถหนีพ้นได้”
กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มีคนสามกลุ่มที่ออกไปตามหากู้หนิงอัน ฉือโถว กู้หนิงผิง และเหลียงอวี้เฉิง พวกเขาแบ่งคนและแยกกันไปตามหา ตอนนี้ฉือโถวกลับมาแล้ว ไม่นานกู้หนิงผิงและเหลียงอวี้เฉิงก็ตามกลับมาติด ๆ
หลังจากที่ฟังกู้เสี่ยวหวานวิเคราะห์เสร็จ กู้หนิงผิงก็เตะม้านั่ง “พี่ชายข้าใจดีกับคนอื่นเสมอ ใครจับตัวพี่ชายข้าไปกัน?”
กู้หนิงอันอ่านหนังสือได้ ดังนั้นร่างกายและกระดูกของเขาจึงเทียบไม่ได้กับกู้หนิงผิง
คนเรียนหนังสือที่อ่อนแอ หากมีคนต้องการจับตัวเขาไปจริง ๆ แม้แต่ชายฉกรรจ์สองคนก็สามารถลงมือได้
เป็นตอนนั้นเองที่ฉือโถวถามขึ้นด้วยความกังวล “ใช่ หนิงอันมีนิสัยที่อ่อนโยนและบุคลิกที่นิ่งสงบ ใครกันที่มีเรื่องบาดหมางกับเขา”
กู้เสี่ยวหวานเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “เกรงว่าจะไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับเขา แต่พวกเขาไม่สามารถทำร้ายข้าได้ เลยหันเป้าหมายไปที่หนิงอัน”
อาจั่วที่อยู่ข้าง ๆ พอได้ยินเช่นนี้ก็รีบถามขึ้น “คุณหนู ท่านหมายความว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กับจ้าวจื่อเจี๋ยส่งคนมาทำเช่นนี้หรือ”
“ข้าได้ยินมาว่าใบหน้าของจ้าวจื่อเจี๋ยผู้นั้นถูกทำลาย โทษนี้ต้องตกอยู่ที่ข้าแน่ ยังมีซ่งเหลียนเฉิงที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ เขาเป็นคนเดียวที่ติดตามจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ใช่หรือไม่ ข้างกายมีคนรับใช้มากมายขนาดนั้น ในคืนวันนั้นเกิดเรื่องเลวร้ายจนมีคนเสียชีวิต ตอนนี้ข้ายังยืนอยู่ที่นี่ พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร”
“ว่าอย่างไรนะ คืนนั้นเเกิดอะไรขึ้น” พอกู้หนิงผิงได้ยินก็กระวีกระวาดลุกขึ้น แต่อาจั่วก็รีบเข้ามาห้ามเขาไว้ “หนิงผิงอย่าร้อนใจไป แม่นางไม่ได้เป็นอะไร”
จากนั้นก็พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นด้วยคำพูดไม่กี่คำ
กู้หนิงผิงยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธและหันไปมองพี่สาวด้วยความกังวล จากหันหลังกลับแล้วเดินออกไป “ท่านพี่ ข้าจะไปช่วยพี่หนิงอัน ข้าจะไปคิดบัญชีกับจ้าวจื่อเจี๋ย”
กู้หนิงผิงเป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่อได้ยินว่าทั้งกู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงอันถูกจ้าวจื่อเจี๋ยรังแก เขายอมจะนั่งอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร เขาหันหลังแล้วเดินออกไปข้างนอกเพื่อไปชำระบัญชีแค้นกับจ้าวจื่อเจี๋ย
“หนิงผิง นั่งลงก่อน” เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่ากู้หนิงผิงออกไปอย่างรีบร้อนก็ตะโกนขึ้น “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้หนิงอันอยู่ที่ไหน เจ้าไปบ้านตระกูลจ้าวก็เท่ากับบอกพวกเขาว่าเรารู้ที่อยู่ของหนิงอันแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะถูกเปิดเผย มีโอกาสมากที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่แน่ว่ามันอาจจะทำอะไรบ้า ๆ มากกว่านี้”
“ท่านพี่ แล้วเราควรทำอย่างไร หรือว่าจะมองดูพี่ชายอยู่ในมือพวกเขา ชีวิตและความตายไม่แน่นอน จะปล่อยให้จ้าวจื่อเจี๋ยรังแกพวกเราอยู่แบบนี้หรือ” กู้หนิงผิงกังวลจนน้ำตาไหลลงมา “ข้าโตแล้ว…”
กู้หนิงผิงมองกู้เสี่ยวหวาน นอกจากความกังวลแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีความเศร้าที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้น
ข้าโตแล้ว แต่ท่านพี่ยังคงทำเหมือนข้ายังเป็นเด็ก เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่เคยบอกข้า เอาแต่ปิดบังไม่ให้ข้ารู้ ข้าสามารถปกป้องนางได้แล้ว
“หนิงผิง เจ้าไม่ต้องกังวล เรามาคุยเรื่องที่จ้าวจื่อเจี๋ยรังแกข้าก่อน ข้าไม่ปล่อยไปแบบนี้แน่ แต่เรื่องการหมั้นหมายที่เกิด ข้าจึงปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน ตอนนี้จ้าวจื่อเจี๋ยกล้ามายั่วยุข้าอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันปล่อยสองพี่น้องคู่นี้ไปเด็ดขาด” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยความเกลียดชัง
“เสี่ยวหวาน เจ้าบอกสิว่าตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร” ฉือโถวถาม
“ใช่ขอรับ คุณหนู ท่านว่าพวกเราควรทำอย่างไร พวกเราควรทำอย่างไรดี” เหลียงอวี้เฉิงแสดงความคิดเห็น
“อาจั่ว ตอนนี้พวกเราไปบ้านตระกูลจ้าว ไปหาจ้าวสวิ่นกันเถอะ” กู้เสี่ยวหวานพิจารณาสักครู่แล้วพูดออกมา
กู้หนิงผิงรีบเอ่ยขึ้นทันที “ท่านพี่ ข้าจะไปกับพวกท่าน”
ถ้าคนเยอะก็จะมีคนดูแล กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้วางแผนที่จะไปกันแค่ผู้หญิงสองคน กู้หนิงผิงและฉือโถวก็ไปกับนางด้วยเช่นกัน
เหลียงอวี้เฉิงและลูกจ้างที่แข็งแกร่งคนหนึ่งขับรถม้าไปรอที่หน้าประตูบ้านตระกูลจ้าว
ตอนนี้ดึกมากแล้ว
หลังจากเคาะประตูบ้านตระกูลจ้าวอยู่นานก็มีเสียงอันเกียจคร้านและชั่วร้ายดังออกมาจากข้างใน “ดึกดื่นป่านนี้ใครมากัน เคาะอะไรนักหนา รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน ถ้าไม่มีอะไรล่ะก็คอยดูข้าฆ่าเจ้าแน่”
ประตูถูกเปิดอย่างแรงเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ในค่ำคืนอันเงียบสงัดนี้ มันดูมืดมนและน่ากลัวมาก
“ไอ้บ้าที่ไหนมาเคาะประตู ไสหัวไปซะ!” คนรับใช้ที่เฝ้าประตูยังคงหรี่ตามองผ่านแสงสลัวทำให้เห็นภาพตรงหน้าไม่ชัด แต่รู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้า และเอ่ยปากด่าอย่างไม่คิด “ประตูตระกูลจ้าวจะให้เจ้ามาเคาะมั่วซั่วได้อย่างไร อยากตายกันหรือไง”
“เจ้ากำลังว่าใคร” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น คนรับใช้ลืมตาขึ้นเพียงครึ่งเดียวก็รู้สึกได้ถึงความเย็นวูบวาบในดวงตา จากนั้นก็มีของแหลมคมบางอย่างมาจ่อที่คอ และสัมผัสที่เย็นยะเยือกทำให้คนรับใช้ตัวสั่นระริก