ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1375 พี่น้องท้องชนกัน
บทที่ 1375 พี่น้องท้องชนกัน
(Content Warning : นิยายเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับ Incest มีการบรรยายถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างเครือญาติหรือสายเลือดเดียวกัน)
จานหงอวี้ผู้นี้อายุมากน้อยอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทั้งชายโสดและชายที่แต่งงานแล้ว ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับนาง มันเยอะขนาดที่ว่ายกมือทั้งสองข้างขึ้นมานับยังไม่พอ
หญิงสำส่อนเช่นนี้จะแต่งเข้าตระกูลจ้าวได้อย่างไร
จ้าวสวิ่นไม่ยอมเด็ดขาด ทว่าจานหงอวี้ผู้นี้กลับหาเรื่องมาบีบบังคับให้เขาต้องยอมจำนนเสียจนได้
จานหงอวี้ผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน นางใช้เสี้ยนจู่และใต้เท้าจ้าวแห่งเมืองรุ่ยเสียนมาขู่เขา จ้าวสวิ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตกปากรับคำนางไปก่อน ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกู้เสี่ยวหวานเหมือนอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบาง ๆ หากมีเรื่องแย่ ๆ แทรกเข้ามา เกรงว่ามันคงจะต้องจบไม่สวยแน่ ๆ
ทันทีที่อีกฝ่ายตอบรับ จานหงอวี้ก็รีบวิ่งแจ้นไปหาจ้าวจื่อเจี๋ยอย่างเริงร่า ก่อนจะกลับบ้านในเวลาต่อมา
มาถึงบ้านที่ไม่ได้กลับมานาน ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ชายชุดดำหลายคนปรากฏตัวในบ้านของจานหงอวี้พร้อมดาบในมือ ก่อนจะพุ่งเข้าไปในบ้านของจานหงอวี้เพื่อปลิดชีวิตนาง
จานหงอวี้ตกใจวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน กระทั่งเห็นบ้านร้างหลังหนึ่งอยู่ข้างหน้า นางรีบวิ่งกระหืดกระหอบหนีตายเข้าไปข้างในบ้าน พลางคิดในใจว่าหลบอยู่ที่นี่คงจะปลอดภัยกว่า
ทว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านร้างทำให้นางลืมสิ้นว่าตนพึ่งวิ่งหนีสิ่งใดมา และกำลังมีคนไล่ล่าตนอยู่
ภาพอันเร่าร้อนทำเอาผู้มาใหม่ยืนตะลึงงัน คนสองคนกอดกันแน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ ตอบโต้กันไปมา การเคลื่อนไหวของคนทั้งสองยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ราวกับสัตว์โตเต็มวัย
มันเกิดสิ่งใดขึ้นในบ้านร้างหลังนี้ สองคนนี้ถึงได้กล้าทำเรื่องอย่างว่าโจ่งแจ้งเช่นนี้
บ้านร้างหลังหนึ่ง ห้องหับเก่า ๆ โทรม ๆ แต่กลับตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายละมุนละม่อม
สองร่างเปลือยเปล่าอิงแอบแนบชิด
เสียงผลักประตูให้เปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า คนทั้งสองเพียงเหลือบมองอย่างงุนงง ทันทีที่เห็นแจ้งแล้วว่าผู้ใดคือเจ้าของร่าง ดวงทั้งสองคู่พลันเบิกกว้าง กระวีกระวาดควานหาผ้ามาปกปิดร่างกาย เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วฟ้า
“กรี๊ดดด!” เป็นจานหงอวี้ที่ส่งเสียงกรีดร้อง รวมทั้งเสียงพูดคุย
“จื่อเจี๋ย! จะ… จะ… เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!?” พูดจบ จานหงอวี้ก็ปิดหน้าเดินออกมาอย่างอับจนหนทาง ชายชุดดำที่กำลังไล่ล่านางล้วนเป็นคนของซ่งเหลียนเฉิง และตอนนี้พวกเขาก็ได้เห็นกับตาว่านายหญิงกำลังเปลื้องผ้าทำเรื่องอย่างว่ากับพี่ชายแท้ ๆ ของนาง
แล้วพวกเขา…
จะกลับไปรายงานนายท่านอย่างไรดี!?
แต่ละคนได้แต่มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
ทันใดนั้น จ้าวสวิ่นและฮูหยินจ้าวก็ปรากฏตัวที่บ้านร้าง ด้านจ้าวจื่อเจี๋ยและจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่ทำตัวราวกับสัตว์ก็ได้แต่หอบผ้าพันรอบกายไว้แน่น พลางนึกกลัวว่าหลังประตูบานใหญ่จะมีคนมากมายรออยู่ด้านนอก หากเป็นอย่างที่คิดจริง ๆ เรื่องนี้คงต้องถูกเล่าลื่อกันไปปากต่อปาก ผู้คนคงต้องยื่นคอเข้ามามองพวกเขาอย่างหน้าชื่นตาบานพลางหัวเราะเยาะอย่างสะใจเป็นแน่
จ้าวสวิ่นและฮูหยินจ้าวยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดในบ้านร้าง จนกระทั่งเดินเข้าไปข้างในห้อง ถึงได้เห็นภาพเบื้องหน้าเต็มสองตา จ้าวสวิ่นถึงกับโกรธเลือดขึ้นหน้าก้าวขาไม่ออก
“พวกเจ้ามันต่ำช้า! ยังไม่รีบปิดประตูอีก ไล่คนข้างนอกออกไปให้หมด!” จ้าวสวิ่นสั่งเสียงเข้ม ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธเกรี้ยว
ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ทันการเสียแล้ว สิ่งใดควรเห็น สิ่งใดไม่ควรเห็น ผู้คนข้างนอกล้วนเห็นไปแล้วทั้งสิ้น ต่อมาคนรับใช้ของจ้าวสวิ่นถึงได้มาไล่พวกเขา เสียงขับไล่ดังอึกทึกครึกโครมทำให้ผู้คนจำต้องแตกกระเจิงออกจากกันราวกับนกป่า
ไม่รอให้จ้าวสวิ่นต้องออกมาไล่พวกเขาด้วยตัวเอง
ฮูหยินจ้าวโมโหจนตัวสั่น เข่าทรุดลงกับพื้นก่อนจะร้องไห้โฮออกมาอย่างเหลืออด “ตระกูลจ้าวไปทำเวรกรรมอันใดไว้นักหนา ถึงได้ส่งคนเนรคุณอย่างพวกเจ้าเข้ามาในตระกูล ทำให้ตระกูลจ้าวอันบริสุทธิ์ผุดผ่องต้องมัวหมอง แล้วข้าจะสู้หน้าบรรพบุรุษตระกูลจ้าวได้อย่างไร!”
สิ้นเสียงฮูหยินจ้าว สีหน้าจ้าวสวิ่นพลันถอดสี
ไม่ใช่ฮูหยินจ้าวหรอกที่ไม่กล้าสู้หน้าบรรพบุรุษตระกูลจ้าว แต่เป็นเขาต่างหาก!
หากตอนนั้นเขาไม่คิดอคติต่อภรรยาเอกอย่างฮูหยินจ้าว ตัวเขาก็คงจะไม่ไปสร้างเรือนทองนอกเรือนและให้กำเนิดคนชั่วทั้งสองคนนี้ให้เข้ามาเป็นคนของตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวก็คงไม่ต้องมาถึงจุดนี้ เดิมทีตระกูลจ้าวก็แทบไม่มีหน้าไปสู้ผู้ใดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีหน้าไปสู้ผู้ใดแล้ว จริง ๆ
เป็นพี่น้องท้องเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับกล้าทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้ นี่มันช่างเป็นเรื่องต่ำช้า น่าอัปยศที่สุด!
“ท่านพ่อ…ท่านแม่…เราถูกใส่ร้าย เราถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ดึงสติกลับมาได้ก็รีบกระชับผ้าบนร่างกาย แล้วคลานเข้าไปหาจ้าวสวิ่นและฮูหยินจ้าว
ในเมื่อจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ทำเรื่องผิดศีลธรรมขนาดนี้ นี่เป็นโอกาสดีที่นางจะสามารถกำจัดคนได้ถึงสองคนในคราวเดียว คนอย่างฮูหยินจ้าวย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดมือแน่
นางครุ่นคิดอยู่ในใจ หาได้เอาใจใส่ฟังคำแก้ตัวจากจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ “ถูกคนใส่ร้ายอีกแล้วหรือ? ฮ่า ๆ คนผู้นั้นกัดเจ้าไม่ปล่อยจริง ๆ ใส่ร้ายครั้งแรกไม่สำเร็จก็ยังอุตส่าห์ใส่ร้ายครั้งที่สองอีก”
“ฮูหยิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร” จ้าวสวิ่นได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับพูดที่ฟังดูเหมือนมีสิ่งใดแฝงอยู่
ฮูหยินจ้าวชี้ไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และจ้าวจื่อเจี๋ย ก่อนจะเริ่มเล่าบางสิ่งพร้อมสีหน้ารังเกียจ “นายท่าน เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องปิดบังท่านอีกต่อไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยจับได้ เพียงแต่ครั้งนั้นพวกเขาบอกว่าถูกใส่ร้าย ข้าก็เลยให้หมอตำแยมาตรวจดูร่างกายของอวิ๋นเอ๋อร์ พบว่ายามนั้นนางยังเป็นสาวพรหมจรรย์ แถมเรื่องมันยังเกิดขึ้นในเรือนตนเอง ข้าก็เลยปล่อยไป ไม่คิดทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะพวกเขาอาจจะโดนใส่ร้ายจริง ๆ ก็ได้ แต่มาคราวนี้…”
ฮูหยินจ้าวหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้อาเหลียนที่อยู่ข้าง ๆ อาเหลียนไม่รอช้า รีบก้าวไปข้างหน้ากวาดสายตาตรวจสอบบนเตียงกว้าง
มองปราดเดียว คิ้วนางก็ขมวดแน่น
มองเตียงแล้วก็มองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เงยหน้าสบตาอาเหลียน พลันรู้สึกถึงร่างกายส่วนล่างที่ฉีกขาดไปแล้วพร้อมหัวใจที่เต้นรัว
“ท่านพ่อ! ท่านต้องเชื่อข้านะ ท่านพ่อ ลูกไม่รู้จริง ๆ ว่าลูกมาอยู่ที่นี่กับท่านพี่ได้อย่างไร ท่านพ่อได้โปรดเชื่อข้า เชื่อข้าเถอะ ลูกต้องถูกใส่ร้ายแน่ ๆ”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ล้มลุกคลุกคลานพยายามเข้าไปจับชายกางเกงเพื่อขอร้องอ้อนวอนจ้าวสวิ่น
แม้ว่าร่างกายนางไม่ได้เปลือยเปล่า แต่สิ่งที่ปกปิดร่างกายไว้ในตอนนี้เป็นเพียงผ้าปูเตียงเท่านั้น และยามที่นางคลานไปบนพื้นอย่างทุลักทุเล ผ้าก็หลุดลงมาเผยให้เห็นไหล่ขาวเนียน
รอยช้ำที่คนแยกไม่ออกบนไหล่ขาวราวหิมะก็ปรากฏให้เห็นแก่สายตา ดวงตาของจ้าวสวิ่นยิ่งแดงก่ำราวกับมีเปลวไฟพุ่งออกมา
อาเหลียนเดินไปกระซิบที่ข้างหูฮูหยินจ้าวอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินจ้าวก็พยักหน้าสองสามครั้ง นางคิดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ และจากสายตาที่นายท่านมองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ในยามนี้ ดูก็รู้ว่าเขาพอจะดูออก