ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1376 ใต้เท้าจ้าวมาพอดี
บทที่ 1376 ใต้เท้าจ้าวมาพอดี
ตอนนี้สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว โดยที่ไม่ต้องลงมือจัดการเองให้ยุ่งยาก สิ่งที่ต้องทำคือเพียงคิดว่าจะบอกกับตระกูลซ่งอย่างไรดี
หลังจากเมียงมองไปทางจ้าวสวิ่นที่กำลังโกรธแทบเป็นแทบตายแล้วก็เอ่ยขึ้นทันใด “นายท่าน ตอนนี้เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะอธิบายกับตระกูลซ่งว่าอย่างไร”
สีหน้าจ้าวสวิ่นมืดมนราวกับก้นหม้อ มองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เสร็จแล้วก็หันไปมองจ้าวจื่อเจี๋ยที่ซุกตัวอยู่ในผ้าที่ปลายเตียงไม่พูดไม่จา ก่อนจะสั่งเสียงเข้มว่า “พาสองคนนั้นกลับไปขังไว้ที่จวน หากไม่มีคำสั่งจากข้า ผู้ใดก็ห้ามปล่อยพวกเขาออกมา!”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังคงร่ำร้องไม่หยุด แต่จ้าวจื่อเจี๋ยเอาแต่นิ่งเฉยราวกับยอมรับชะตากรรมของตน ไม่แม้แต่จะปริปากร้องขอความเมตตาสักคำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารู้ตัวว่าไม่มีหน้าจะร้องขอความเมตตา หรือเขาคิดว่าอย่างไรเสียจ้าวสวิ่นก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
จ้าวสวิ่นก้าวขาออกมาจากบ้านร้างก็หยุดชะงักทันทีที่เห็นว่าข้างนอกยังเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังจับจ้องมาที่เขาพร้อมเสียงซุบซิบนินทา
จ้าวสวิ่นที่กำลังไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว ยิ่งต้องมาเห็นผู้คนมากมายยังอยู่ที่เดิมทั้ง ๆ ที่เขาสั่งให้บ่าวรับใช้ออกมาไล่คนพวกนั้นไปแล้ว แถมยังเฝ้ามองดูเขาราวกับเป็นเรื่องน่าขัน ความขุ่นเคืองในใจปะทุออกมาทันใด “มองหาสิ่งใดกัน มีสิ่งใดให้พวกเจ้าสนใจนักหนา ไสหัวออกไปให้ หมด!”
จ้าวสวิ่นตะคอกด้วยความโกรธ แต่คนเหล่านั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จ้าวสวิ่นเห็นอย่างนั้นความโกรธยิ่งทวีมากขึ้น ตะคอกออกไปอย่างเหลืออดจนสุดเสียง “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม มีสิ่งใดน่าดูนัก ไสหัวออกไปให้หมด!”
“นายท่านจ้าวเสียงดังฟังชัดดีนี่? แต่หากข้าบอกว่าข้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อ นายท่านจ้าวก็จะไล่ข้าอย่างนั้นหรือ?” สิ้นเสียงจากคนผู้นั้น จ้าวสวิ่นก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว มองไปตามทิศทางของเสียงที่ดังมาก็พบว่าคนผู้นั้นคือใต้เท้าจ้าว เจ้าเมืองรุ่นเสียนในชุดเรียบง่าย ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเหมือนเป็นชาวบ้านธรรมดาที่กำลังเฝ้าดูเรื่องตื่นเต้น
จ้าวสวิ่นเพ่งมองให้ดีอีกทีก็เห็นว่าเป็นใต้เท้าจ้าวจริง ๆ หัวใจพลันเต้นระส่ำ พลางคิดในใจว่าคนผู้นั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หลงอยู่ในความคิดได้ไม่นานก็รีบก้าวไปหยุดอยู่เบื้องหน้าใต้เท้าจ้าว ก่อนจะกล่าวตำหนิตนเอง “ข้าน้อยไม่ทราบว่าใต้เท้าจ้าวก็อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อครู่ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ขอใต้เท้าโปรดอภัย”
ใต้เท้าจ้าวเหลือบมองจ้าวสวิ่นเพียงเล็กน้อย “นายท่านจ้าว ที่นี่คือเรือนของท่านอย่างนั้นหรือ?”
เรือนที่ว่าทั้งทรุดโทรมและรกร้างมาก จ้าวสวิ่นอาศัยอยู่ในเรือนเช่นนี้หรอกหรือ
จ้าวสวิ่นได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มเก้อเขิน “ใต้เท้าล้อข้าเล่นแล้ว เรือนข้าน้อยอยู่ด้านหน้าโน้นขอรับ”
“แล้วเหตุใดนายท่านจ้าวกับฮูหยินจ้าวถึงได้ออกมาจากข้างในนั้น แล้วยังพาคนมากมายมาที่นี่ด้วยเล่า หรือว่าข้างในนั้นมีบางอย่างน่าสนใจ นายท่านจ้าว…พาข้าเข้าไปดูสักหน่อยเถอะ” ใต้เท้าจ้าวถามหน้านิ่งราวกับยังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด
หากไม่ใช่เพราะจ้าวสวิ่นกลัวว่าจะทำให้ใต้เท้าจ้าวขุ่นเคืองล่ะก็นะ… สิ่งที่ใต้เท้าจ้าวเอ่ยถามต่อหน้าผู้คนมากมายเมื่อสักครู่นั้น มันก็เหมือนกดหัวเขาลงบ่อส้วม เสียดายที่นี่ไม่มีหลุม หากมีเขาจะต้องเอาหัวมุดลงไปในนั้นแล้วจริง ๆ
หากใต้เท้าจ้าวยังดึงดันจะเข้าไป แล้วได้เห็นว่าลูกชายกับลูกสาวของเขาทำเรื่องต่ำช้าหน้าไม่อายไร้ศีลธรรมล่ะก็… เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด! เรื่องราวฉาวโฉ่คงไม่ได้หยุดอยู่แค่เมืองหลิวเจีย แต่ต้องดังไกลไปถึเมืองรุ่ยเสียนเป็นแน่
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้มีคนมากมายรับรู้แล้วก็ตาม แต่หากตัวเขาต้องเสียหน้าไปมากกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่เหลือแม้แต่เศษหน้าให้เข้าสังคมแล้วล่ะ
“ใต้เท้าจ้าวอย่าล้อข้าเล่นสิ ที่นี่จะไปมีเรื่องน่าสนใจอันใดกันเล่า ข้าน้อยก็แค่มาตรวจตราดูเท่านั้นเอง” จ้าวสวิ่นพูดได้ไม่เต็มปาก สีหน้าท่าทางอลักเอลื่อ
ชาวบ้านทั้งหลายเห็นว่าจ้าวสวิ่นกำลังถูกต้อนให้จนมุม พลันนึกถึงแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น*[1] ในห้องที่พวกตนได้เห็นก่อนหน้านี้
นี่คือเรื่องดี ๆ ที่คนในตระกูลใหญ่เขาทำกัน ภายนอกวางตัวเป็นคุณหนูคุณชาย ลับหลังกลับทำเรื่องสกปรกพรรค์นี้อย่างหน้าไม่อาย
ไม่ว่าจะทำตัวสูงส่งถึงเพียงใด ก็แค่เป็นหมาป่าห่มหนังแกะเท่านั้นแหละ
ชาวบ้านที่ยืนอยู่ไกล ๆ ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ก็คิดว่าคงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นตนถึงได้ตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ใต้เท้าขอรับ ในนั้นมีเรื่องน่าสนใจจริง ๆ มันน่าสนใจมากเลยล่ะ”
ใต้เท้าจ้าวได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงพึมพำทำหน้าสงสัย สาวเท้าไปข้างหน้าสองก้าวราวกับจะเข้าไปข้างใน
แต่จ้าวสวิ่นที่เห็นเช่นนั้นย่อมไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปแน่ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจไปสู้หน้าใครได้อีกแล้ว
“ใต้เท้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าน้อยแค่อยากซื้อเรือนนี้ ก็เลยมาดูสักหน่อย” จ้าวสวิ่นรีบอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ด้านฮูหยินจ้าวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ก้าวเข้าไปขวางทางใต้เท้าจ้าวไว้ ก่อนจะเอ่ยอย่างสุภาพว่า “ใต้เท้าจ้าว เรือนร้างหลังนี้เก่าเกินไป นายท่านกับข้าน้อยกลัวว่ายามที่ฝนตกมันจะถล่มลงมา หากคนบริสุทธิ์ต้องมาเจ็บตัวมันคงไม่ค่อยดีนัก นายท่านกับข้าน้อยก็เลยมาตรวจดูว่าพอจะซ่อมแซมมันได้หรือไม่”
จ้าวสวิ่นได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาก็เปล่งประกาย รีบพูดเสริมว่า “ใช่แล้ว ๆ ใต้เท้า เรือนหลังนี้มันเก่ามากแล้ว ก็เลยกลัวว่ามันจะพังลงมาโดนชาวบ้าน หากผู้บริสุทธ์ต้องมาบาดเจ็บเพราะมันก็คงจะไม่ค่อยดีเท่าไร แม้ตระกูลจ้าวของเราจะไม่ใช่เรือนที่มีกลองดังข้าวดี*[2] แต่ก็พอมีเงินอยู่บ้าง ข้าน้อยก็เลยอยากจะซ่อมแซมเรือนร้างหลังนี้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดต้องเจ็บตัวเพราะ มัน”
จ้าวสวิ่นลอบมองฮูหยินจ้าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ และยกนิ้วให้นางอยู่ในใจ
นี่แหละถึงจะสมกับตำแหน่งฮูหยินใหญ่ เพียงคำพูดไม่กี่คำก็สามารถพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้
“โอ้ เป็นอย่างนี้เองหรือ” สีหน้าใต้เท้าจ้าวยังเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาก็ไม่คิดที่จะดึงดันต่อ “นายท่านจ้าวและฮูหยินจ้าวมีจิตใจเมตตาต่อผู้คนเช่นนี้ เมืองหลิวเจียมีตระกูลจ้าวอยู่ถือเป็นความโชคดีของชาวบ้านแล้ว”
จ้าวสวิ่นรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ล้วนเป็นเพราะความดีของใต้เท้า ข้าน้อยก็แค่ชาวบ้านคนหนึ่งในเมืองหลิวเจีย”
ชาวบ้านทั้งหลายก็ได้แต่มองดูจ้าวสวิ่นตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างสนอกสนใจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้งเขา
แม้อยากจะประจานจ้าวสวิ่นเพียงใด แต่ด้วยสถานะของเขาในเมืองหลิวเจีย หากผู้ใดไปมีเรื่องกับเขาเข้าก็คงต้องใช้ชีวิตในเมืองนี้อย่างยากลำบากแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก แม้ว่าสีหน้าของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความเหยียดหยามก็ตาม
จ้าวสวิ่นเห็นความเงียบรอบตัว ใต้เท้าจ้าวเพียงมองอย่างสงสัย แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด หัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นดายค่อย ๆ สงบลง
“ใต้เท้าจ้าว เหตุใดวันนี้ท่านถึงมีเวลาว่างมาที่เมืองหลิวเจียได้เล่า” จ้าวสวิ่นถามอย่างสงสัย
บังเอิญมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ มันช่าง…
น่าเหลือเชื่อจริง ๆ
“อ๋อ พอดีว่าสองสามวันนี้ข้าต้องออกตรวจตรา วันนี้มาถึงเมืองหลิวเจียพอดี ก็เลยมาตรวจดูสักหน่อย”
*[1] แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง
*[2] เรือนที่มีกลองดังข้าวดี หมายถึง มีความมั่งคั่ง ร่ำรวย