ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1390 สวนชิง
บทที่ 1390 สวนชิง
ฮูหยินหลี่เป็นหญิงที่ดึงดูดสายตาและน่าเข้าหาอย่างยิ่ง
กู้ฟางสี่พูดคุยกับฮูหยินหลี่ แต่หลังจากนั้นได้ยินประโยคนั้นก็เอ่ยถามขึ้น “ชาดหนึ่งกล่องราคาเท่าไรหรือเจ้าคะ?”
“ดูร้านเครื่องประทินโฉมเหล่านี้สิ เป็นของที่มีทั่วไปในเมืองหลวง แต่ชาดหนึ่งกล่องราคายี่สิบตำลึงเงิน” ฮูหยินหลี่ถอนหายใจ
“อะไรนะ?! ยี่สิบตำลึงเงิน” กู้ฟางสี่ตะโกนด้วยความไม่เชื่อ
เนื่องจากกู้ฟางสี่ใช้เครื่องบำรุงผิวที่กู้เสี่ยวหวานซื้อให้นางจำนวนมาก ผิวของนางจึงดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะเป็นของที่กู้เสี่ยวหวานซื้อให้ และเป็นของที่หลานสาวเลือกให้ หลังจากที่กู้ฟางสี่รู้ นางก็ปฏิเสธที่จะให้กู้เสี่ยวหวานซื้อให้อีก
ปฏิเสธว่าของเหล่านี้มีราคาแพง นางเองก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง สามารถซื้อเองได้
เนื่องจากกู้ฟางสี่มีทักษะด้านการเย็บปักถึกร้อย นางจึงเย็บตุ๊กตาและปักผ้าเช็ดหน้ากับกู้เสี่ยวอี้แล้วส่งไปขายในเมือง และกู้เสี่ยวหวานก็มอบเงินทั้งหมดจากการขายให้กู้เสี่ยวอี้และกู้ฟางสี่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร้านตุ๊กตาในเมืองหลวงเปิดตัวขึ้น กู้ฟางสี่ยังได้เรียนรู้วิธีการทำตุ๊กตาจากหลานสาวตัวน้อย แม้ว่าตุ๊กตาที่ทำไปจะไม่ได้มีฝีมือประณีตเท่าของกู้เสี่ยวอี้ แต่มันก็มีคุณภาพและขายได้เงินเป็นจำนวนมาก
กู้เสี่ยวหวานมอบให้กู้ฟางสี่เก็บไว้ นอกจากนี้กู้เสี่ยวหวานยังให้เงินจำนวนมากกับกู้ฟางสี่ในช่วงเทศกาล ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กู้ฟางสี่จึงมีเงินเก็บจำนวนมากเลยทีเดียว
ชาดที่นางนำมาจากเมืองหลิวเจียใกล้จะหมด จึงถึงเวลาที่จะต้องซื้อเพิ่มแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าชาดมีราคาแพงมากก็ได้แต่ตกตะลึง “ราคาสูงยิ่งนัก สวรรค์! ถ้ารู้เยี่ยงนี้ ข้าควรจะนำมาจากเมืองหลิวเจียให้มากกว่านี้สักหน่อย ไม่คุ้มค่าที่เสียเงินเอาเลย”
แม้ว่ากู้ฟางสี่จะมีเงินอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินว่าราคาสูงถึงเพียงนี้ก็ยังรู้สึกลำบากใจที่จะซื้อมัน
หลังจากได้ยินคำพูดของกู้ฟางสี่แล้ว กู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะด้วยความขบขัน “ท่านอา ชาดนี้มีอายุในการเก็บรักษา หากท่านมันมาจำนวนมากแล้วไม่ทันระวังทำมันแตกขึ้นมา มันก็จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป นั่นก็ไม่คุ้มค่าเช่นกัน”
ฮูหยินหลี่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “เสี่ยวหวานพูดได้ถูกต้อง ฟางสี่…เจ้าอย่าคิดว่าสิ่งของที่นี่ราคาแพงเลยนะ หากพูดกันตามความจริง คุณภาพของมันดีกว่าของในเมืองหลิวเจีย เมื่อใช้พวกมันแล้ว ผิวพรรณก็จะดูดีขึ้น เนียนละเอียด และนุ่มนวลขึ้น”
เมื่อกู้ฟางสี่ได้ยินสรรพคุณของมัน นางก็เริ่มมีความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่หัวใจก็ยังรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ดีหากต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อของเหล่านี้
ทว่าก่อนที่จะได้พูดอะไรออกมา ก็มีเสียงคนตะโกนบอกว่าถึงบ้านแล้ว เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยิน นางก็รีบเปิดม่านมองออกไปข้างนอก
บนถนนที่พลุกพล่าน แต่ถัดเข้ามามีบ้านหลังใหญ่โตโออ่าหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างเงียบสงบที่นี่
เมื่อครู่เต็มไปด้วยเสียงคึกคักมากมาย แต่ตอนนี้มีเพียงความเงียบสงบ
เหนือประตูบ้านบานใหญ่มีป้ายไม้เรียบง่ายเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่สองตัวว่า ‘สวนชิง’ อักษรนั้นงดงามและทรงพลัง สามารถมองออกได้อย่างรวดเร็วว่าเป็นผลงานของอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง
เนื่องจากฮูหยินไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้อยู่ภายใต้ชื่อของกู้เสี่ยวหวาน นางจึงชี้ไปที่บ้านหลังใหญ่และเอ่ยชื่นชม “เสี่ยวหวาน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ต้องเดินทางไปทั่วอาณาจักร ดังนั้นข้าจึงเช่าบ้านหลังนี้เอาไว้ ท่านพี่รู้ว่าเจ้ากำลังจะมาที่เมืองหลวงและบ้านที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้นั้นยังไม่ได้รับการซ่อมแซม ดังนั้นจึงเช่าบ้านหลังนี้ทันที่ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนถนนที่เจริญที่สุดในเมือหลวง หากเจ้าของบ้านไม่ได้เดินทางไปทั่วอาณาจักร เราคงไม่ได้เช่าบ้านที่มีราคาถูกเช่นนี้”
“บ้านหลังนี้มีทางเข้าเจ็ดทางและอยู่บนถนนเส้นที่เจริญที่สุด” ฮูหยินหลี่ยังคงชื่นชมไม่หยุด
กู้ฟางสี่รู้ว่าบ้านหลังนี้อยู่ภายใต้ชื่อของกู้เสี่ยวหวาน หากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะกู้เสี่ยวหวานไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หลังจากได้ยินคำพูดของฮูหยินหลี่แล้ว นางก็คลี่ยิ้มและพูดว่า “บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับมีเพียงพวกเราอยู่ไม่กี่คน เมื่อบ้านหลังนั้นซ่อมแซมเสร็จ พวกเราจะย้ายไปทันที”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ฮูหยินหลี่ยังกล่าวอีกว่า “คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นบ้านของคนอื่น แม้ว่าเจ้าของจะไม่อยู่ แต่การอยู่ในบ้านของคนอื่นก็ให้ความรู้สึกไม่สบายใจ มันไม่เหมือนกับการอยู่บ้านของตนเองที่อยากทำอะไรก็ทำ”
กู้เสี่ยวหวานเห็นด้วยกับคำพูดของฮูหยินหลี่ แม้ว่านางจะรู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นของตนเอง แต่นางก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ นอกจากนี้นางอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะผู้อยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น และไม่รู้ว่าในอนาคตนางจะทำอะไร เมื่อนึกถึงประโยคที่ฉินเย่จือบอกตนเองว่าไม่ต้องกังวล เขาจะแก้ปัญหาได้ แต่นางก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร
“ใครคือเจ้าของสวนชิงแห่งนี้” กู้เสี่ยวหวานถามขึ้น
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ได้ยินมาว่าเจ้าของเป็นคนลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้คือใคร ตอนที่บ้านหลังนี้ถูกปล่อยเช่า ข้าก็ได้ยินข่าวคราวมาบ้าง แต่ไม่เคยเจอเจ้าของตัวจริง”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า และรถม้าก็หยุดลงหน้าประตูสวนชิง
เมื่อรถม้าเคลื่อนเข้าไปด้านใน ประตูก็ถูกเปิดอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้น ม่านของรถม้าถูกเปิดขึ้นด้วยฝีมือฉินเย่จือ “เสี่ยวหวาน เจ้าลงมาเถอะ”
กู้เสี่ยวหวานมีความตั้งใจว่า เดิมทีเมื่อเข้าสู่สวนชิง นางต้องการลงจากรถม้าแล้วเดินชมรอบ ๆ บ้าน แต่เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีใครพูดสิ่งใด กู้เสี่ยวหวานจึงไม่สามารถพูดได้
ทำได้แค่ซ่อนความตื่นเต้นไว้ในใจ สถานที่แห่งนี้คือบ้านของนาง ดังนั้นจึงอยากสำรวจบ้านหลังนี้อย่างจริงจัง
ทันทีที่ฉินเย่จือพูดจบ ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานก็เปล่งประกายขึ้น จากนั้นวางมือลงบนฝ่ามือของฉินเย่จือและถูกเขาประคองลงจากรถม้า
ทิ้งฮูหยินหลี่ไว้บนรถม้า นางดูฉากนี้ด้วยสายตาอิจฉา “เหอะ ๆ ฟางสี่ เจ้าดูสิว่าความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวหวานกับนายน้อยฉินดีแค่ไหน นายน้อยฉินรักเสี่ยวหวานมาก”
กู้ฟางสี่รู้ดีว่าฉินเย่จือรักเสี่ยวหวานมากแค่ไหน และพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่เจ้าค่ะ เสี่ยวหวานเป็นคนดี และนางสมควรได้รับการปฏิบัติที่ดีจากผู้อื่น”
คำพูดและสายตาของนางเต็มไปด้วยความภูมิใจ
ฮูหยินหลี่พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เสี่ยวหวานเป็นผู้หญิงที่ดีจริง ๆ ถ้าเมี่ยวเมี่ยวดีได้สักครึ่งหนึ่งของเสี่ยวหวานก็คงจะดี”
“พี่สะใภ้หลี่ เมี่ยวเมี่ยวเป็นเด็กมีชีวิตชีวา อ่อนโยน และดูดี เมื่อเมี่ยวเมี่ยวโตขึ้น ข้าเกรงว่าธรณีประตูบ้านของท่านจะถูกผู้คนเหยียบจนพัง” กู้ฟางสี่กล่าวชมเชยอย่างจริงใจ ฮูหยินหลี่มีความสุขมากเมื่อเห็นว่ามีคนชื่นชมลูกสาวของตัวเอง “ดี ข้าจะรับคำชมของเจ้าไว้”