ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1406 ได้พบกัน
บทที่ 1406 ได้พบกัน
“เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย วันนี้ข้าพาเจ้ามาหานางที่นี่ เจ้าสามารถคุยกับนางได้อย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้ามีแผนอย่างไรให้บอกอวี้ซูด้วย เจ้าสองคนเท่านั้นที่จะเข้าใจปัญหาที่มันเกิดขึ้น และจะได้ช่วยกันแก้ปมได้”
ในไม่ช้ารถม้าก็มาถึงบ้านของท่านแม่ทัพ ถานอวี้ซูได้ส่งคนไปรอที่ประตูใหญ่ ทันทีที่รถม้าของกู้เสี่ยวหวานมาถึง อาอวี้ก็พากู้เสี่ยวหวานเข้าไปในบ้านของท่านแม่ทัพ
แต่ว่าเป็นการเดินเข้าทางประตูด้านข้างแทนประตูใหญ่
“เสี้ยนจู่ ข้าขอโทษจริง ๆ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานายท่านของข้าได้ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้คุณหนูของข้าได้พบใคร แต่เมื่อวานนี้หนังสือขอเข้าพบของท่านในที่สุดก็เข้าไปถึงมือของคุณหนู ทันทีที่คุณหนูเห็นว่าเป็นชื่อของท่าน นางก็รีบให้ข้าตอบรับทันที” อาอวี้ก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็ว เพื่อพากู้เสี่ยวหวานไปที่ลานบ้านของถานอวี้ซู
กู้เสี่ยวหวานไม่มีเวลาแม้แต่จะชื่นชมทิวทัศน์ตลอดทางไปยังบ้านของท่านแม่ทัพ นางรู้สึกว่าหัวใจของนางลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ
นางหันศีรษะไปมองกู้หนิงผิงซึ่งกำลังเดินก้มหน้าเงียบ ๆ และถอนหายใจพร้อมกับดึงแขนเสื้อของเขา นางพยักหน้าให้เขาอย่างเงียบ ๆ
ทุกย่างก้าวของกู้หนิงผิงเป็นไปอย่างรวดเร็ว หัวใจที่กำลังห่อเหี่ยวของเขาเต็มไปด้วยกำลังใจจากกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
“จวิ้นจู่… นางอาการดีขึ้นบ้างหรือยัง” กู้หนิงผิงถาม
อาจั่วหันศีรษะมองไปที่กู้หนิงผิงที่มีสีหน้าลำบากใจ จากนั้นก็ตอบว่า “ดีขึ้นมากแล้ว”
จากนั้นนางก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก ทำเพียงเดินนำกู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงผิงไปตามทาง ผ่านห้องโถงด้านหน้า ผ่านประตูฉุยฮวาเหมิน ผ่านลานบ้านทีละหลัง และไม่นานก็มาถึงลานบ้านที่ถานอวี้ซูอาศัยอยู่
ทันทีที่เข้าไปด้านในลาน ก็ได้กลิ่นยาโชยมาจากข้างใน
“คุณหนู ถึงเวลาดื่มยาแล้ว” อาอวี้ขมวดคิ้ว นางเห็นสาวใช้ยืนอยู่นอกบ้านถือถ้วยยารออยู่หน้าประตูอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเห็นอาอวี้ นางก็รีบเดินมาเข้ามาพร้อมกับยาและพูดอย่างเสียใจ “พี่อาอวี้ คุณหนูดื้ออีกแล้ว นางไม่ยอมกินยา”
อาอวี้ถอนหายใจ นางรีบหยิบถ้วยยาแล้วพูดด้วยความลำบากใจ “คุณหนูของข้าไม่ชอบดื่มยาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะให้นางดื่มยาต้องเกลี้ยกล่อมนางเป็นเวลานานถึงจะยอมดื่ม อาชิง เจ้าพาเสี้ยนจู่ไปพักสักครู่ หลังจากที่ข้าเกลี้ยกล่อมคุณหนูให้ดื่มยาแล้ว เดี๋ยวข้าจะออกไปเชิญเสี้ยนจู่ด้วยตัวเอง”
ขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังจะผงกศีรษะ กู้หนิงผิงก็พูดว่า “อาอวี้ ข้าขอเข้าไปด้านในได้หรือไม่”
อาอวี้ถือถ้วยยาพลางมองไปที่กู้หนิงผิง จากนั้นก็หันไปมองที่กู้เสี่ยวหวาน และในที่สุดก็มอบสิ่งของในมือของนางให้หนิงผิง “นายน้อยกู้ ข้ารบกวนท่านด้วย”
อาชิงมองอย่างสงสัย นางไม่เคยพบเสี้ยนจู่และนายน้อยมาก่อน นางมองอาอวี้ยื่นของให้ชายแปลกหน้าด้วยความสงสัย แม้ว่านางจะงงงวยเป็นอย่างมาก แต่นางก็ทำได้แค่มองดูและยืนอยู่ข้าง ๆ
กู้หนิงผิงถือถ้วยยาแล้วเดินเข้าไปในห้อง เขาค่อย ๆ ปิดประตูลง คนข้างหลังม่านเป็นคนที่เขาคิดถึงทั้งกลางวันและกลางคืน
กู้หนิงผิงเดินเข้าไปทีละก้าว ยิ่งเขาเดินเข้าไป หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น ทุกย่างก้าวที่เขาเดินเหมือนเดินบนภูเขาเพลิง ทุกย่างก้าวทรมานหัวใจของเขาเหลือเกิน
เขาไม่รู้ว่าจะพูดประโยคแรกกับอวี้ซูอย่างไรดี จะเกลี้ยกล่อมให้นางดื่มยาได้อย่างไร และจะแสดงความรู้สึกอย่างไรกับนาง
หากนางโกรธเขา มองว่าเขาขี้ขลาด และรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะฝากชีวิตไว้กับเขา เขาควรเดินหน้าต่อไปหรือไม่?
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ดื่ม เจ้าออกไปเถอะ” เหลือม่านกั้นแค่อีกชั้นเดียว เขาได้ยินเสียงคนด้านในอย่างชัดเจน และเสียงนั้นคือน้ำเสียงของคนที่เขาฝันถึงทุกคืน
เสียงที่อ่อนโยนผสมกับความไม่พอใจและความอ่อนแอ น้ำเสียงอ่อนโยนนี้แตกต่างจากน้ำเสียงที่เขาเคยได้ยินในวัยเด็ก
กู้หนิงผิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่เจอกันตั้งหลายปี เขาฝันถึงนางไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง บัดนี้เบื้องหลังม่านหนานี้ ขอเพียงก้าวไปข้างหน้า เขาก็จะเห็นคนที่เขาคิดถึงทั้งวันทั้งคืน
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ ข้าบอกว่าข้าไม่ดื่มยา เจ้าออกไปเสีย!” ถานอวี้ซูพูดอีกครั้งเมื่อคนข้างนอกไม่ตอบรับ
เนื่องจากสายลมและความหนาวเย็น เสียงของถานอวี้ซูจึงทื่อและแหบแห้งขึ้นจมูก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความอ่อนโยนของนางลดลงเลย แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกสงสาร
คนข้างนอกไม่ได้พูดอะไร แต่การรับรู้ของถานอวี้ซูดี นางสามารถได้ยินเสียงหายใจหนัก ๆ ของคนที่ยืนอยู่ข้างนอกได้อย่างชัดเจนและดูเหมือนจะสำลักไป
หัวใจของถานอวี้ซูบีบแน่นขึ้น นางรู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่นอกม่านเหมือนจะกระชากหัวใจของนางออกไป
“อาชิง นั่นเจ้าหรือเปล่า” เสียงนี้ดังขึ้นอีกครั้งจากข้างใน หากแต่นางก็ไม่ได้รับคำตอบ นั่นทำให้ถานอวี้ซูไม่สบายใจมากขึ้น “อาอวี้ เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
ไม่มีเสียงตอบรับ
ถานอวี้ซูกำลังจะลุกขึ้น แต่นางรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยเนื่องจากความหนาวเย็นและอาการปวดหัว นางเสียหลักล้มจนศีรษะโขกเข้าที่หัวเตียง
กู้หนิงผิงผู้ที่อยู่หลังม่านทนไม่ได้อีกต่อไป เขายกม่านแล้วเดินเข้าไปในห้องด้านใน
เขาแตะหน้าผากของถานอวี้ซู สำรวจดูว่านางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เขามองไปยังจุดที่นางเสียหลักล้มใส่ไปเมื่อสักครู่ การกระทำนี้ทำให้นางลืมความเจ็บปวดและคำพูดทั้งหมด นางเพียงแค่มองไปที่คนตรงหน้านางอย่างโง่เขลา
ไม่ได้เจอเขามาสองสามปีแล้ว ท่านพี่หนิงผิงโตขึ้นมาก นางเคยยืนเขย่งปลายเท้าแล้วเอื้อมแตะบนศีรษะของเขาได้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเขย่งเท่าเท่าไรก็ไม่สามารถเอื้อมแตะได้ถึง
ดั้งจมูกของเขาตรงมาก และดวงตาคมสีดำขลับของเขาเหมือนกับดวงดาวในคืนที่มืดมิดซึ่งทำให้ผู้คนหลงใหล
ถานอวี้ซูดูเหมือนจะเสียสติไปเล็กน้อย นางเพียงจ้องมองไปที่กู้หนิงผิงด้วยความงุนงง และไม่กล้าส่งเสียงออกมาราวกับกลัวว่าเขาจะตกใจ ความฝันที่สวยงามเช่นนี้ นางไม่อยากตื่นขึ้นมาเลย นางอยากอยู่เพื่อเก็บเกี่ยวความสุขแบบนี้ต่อไป
“อวี้ซู” กู้หนิงผิงพยุงถานอวี้ซูนอนลงที่เตียงพร้อมกับถือถ้วยยาไว้ในมือ มองไปที่รอยแดงบนหน้าผากของนาง เขายื่นมือไปลูบหน้าผากของนางอย่างไม่สบอารมณ์ และพูดเบา ๆ เหมือนความฝัน “อวี้ซู เจ้าเจ็บมากหรือไม่”
ถานอวี้ซูลืมคำพูดของนางไปนานแล้ว มือเย็น ๆ ของเขานั้นแตะหน้าผากของนาง มันเย็นชาเหมือนความฝัน “พี่หนิงผิง”
“นี่คือความฝันหรือ ใช่ท่านจริง ๆ หรือไม่” ถานอวี้ซูเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ นางมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ แม้แต่สัมผัสเย็นเฉียบบนหน้าผากของนาง นางก็ยังไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าคือพี่หนิงผิงที่นางเฝ้าคิดถึงทั้งวันทั้งคืน