ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1416 เสิ่นเหวินเจวี้ยน
บทที่ 1416 เสิ่นเหวินเจวี้ยน
เพียงแต่ผ้าผืนนี้เป็นสีเทา มันวางอยู่ตรงนี้นานแล้ว แต่ไม่มีใครให้ความสนใจมันเลย เมื่อใดก็ตามที่ท่านอาจารย์เลี่ยวมาแนะนำผ้าผืนนี้ เหล่าสตรีและฮูหยินทั้งหลายก็จะไม่เหลียวแล บอกว่าผ้าสีนี้ดูหมองหม่นและไม่งดงาม
หลังจากนั้นก็ไปเลือกสีม่วงแก่ สีเหลืองอ่อนและวัสดุอื่น ๆ ผ้าสีเทาผืนนี้ถูกโยนกลับเข้าไปในที่เดิมเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว
หลายครั้งที่ท่านอาจารย์เลี่ยวนำผ้าผืนนี้ออกมา แต่เถ้าแก่น้อยมักจะไม่อนุญาต ทั้งยังบอกอีกว่าผ้าผืนนี้มีความงดงามเฉพาะตัว และเมื่อถึงเวลาจะต้องมีคนที่เห็นคุณค่าของมันแน่นอน จึงปล่อยไว้แบบนั้นต่อไป
และแน่นอนว่าคนคนนั้นก็ปรากฏตัวออกมาจริง ๆ
แม้ว่าท่านอาจารย์เลี่ยวจะประหลาดใจ แต่ก็ยังถามอย่างไม่แน่ใจ “แม่นางยังอายุไม่มาก หากใส่เสื้อผ้าสีนี้จะทำให้ดูแก่ลงไปหน่อย”
ถึงแม้ในใจของท่านอาจารย์เลี่ยวจะมีความสุขมาก ที่ในที่สุดก็หาคนที่เห็นคุณค่าของผ้าผืนนี้พบ แต่ว่ามีบางอย่างที่เขาอยากจะพูดอีก อีกทั้งในใจยังรู้สึกสงสัย จึงยังถามต่อ
ตอนอยู่ด้านหลังร้าน เขาได้ยินสิ่งที่สองพี่น้องคู่นี้คุยกัน เมื่อครู่สาวน้อยคนนั้นพูดอะไรและกำลังปักอะไร
อา… อะไรสักอย่าง
ถ้าหากเขาฟังไม่ผิดละก็… น่าจะเรียกว่าอาหรับราตรี
สิ่งนี้คืออะไร
เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แน่นอนว่าต้องลองถามดูสักหน่อย
คำพูดของท่านอาจารย์เลี่ยวนั้นจริงใจแน่นอน ผ้าสีเทาผืนนี้หากสวมใส่บนร่างกายมันจะดูเป็นผู้ใหญ่ไปหน่อย
อีกทั้งยังให้เด็กอายุสิบหกสวมใส่
หญิงสาวทุกคนล้วนไม่ได้ชอบเสื้อผ้าสีชมพู สีแดง สีม่วง สีเหลืองแบบนั้นหรอกหรือ?
“แม่นาง ข้ายังมีเนื้อผ้าแบบอื่นมากมาย เจ้าอยากจะลองดูก่อนหรือไม่”
แม้ว่าท่านอาจารย์เลี่ยวอยากจะขายผ้าพวกนี้ออกไป แต่ไม่สามารถที่จะขายให้กับหญิงสาวอายุน้อยเช่นนี้ได้ หากซื้อกลับไปก็คงไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น ผ้าสีเทาแบบนี้ราคาสูงมาก
“ไม่ต้องแล้ว ข้าซื้อผืนนี้แหละ” กู้เสี่ยวอี้ไม่แม้แต่จะหันไปมองท่านอาจารย์เลี่ยว นางรีบชี้และตอบโดยไม่ลังเล “ผ้าผืนนี้ข้าซื้อแล้ว”
“แม่นางแน่ใจหรือ” ท่านอาจารย์เลี่ยวถามต่อด้วยสีหน้าที่สงสัย
“ราคาเท่าไรหรือเจ้าคะ?” เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่ากู้เสี่ยวอี้ต้องการซื้อผ้าผืนั้น นางก็หยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และอาจารย์เลี่ยวก็มีสีหน้าไม่เชื่อ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ท่านอาจารย์เลี่ยวก็แปลกใจเล็กน้อย ทว่าก็ยังบอกราคาของผืนนั้น กู้เสี่ยวหวานหยิบเงินออกมาแล้วส่งให้ท่านอาจารย์เลี่ยวพลางแย้มยิ้ม “รบกวนท่านอาจารย์เลี่ยวห่อให้ข้าด้วย”
ท่านอาจารย์เลี่ยวมองดูเงินในมือและยังคงทำหน้าไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งฉางกุ้ยหยิบด้ายทองแล้วเดินออกมาจากหลังร้าน เมื่อเห็นท่านอาจารย์เลี่ยวทำท่าทางประหลาดใจก็รีบสะกิดเขา “ท่านอาจารย์เลี่ยว ท่านอาจารย์เลี่ยว”
จากนั้นท่านอาจารย์เลี่ยวก็ได้สติ จึงเก็บเงินและรีบห่อผ้าสีเทาผืนนั้นให้เรียบร้อยแล้วเอาให้กู้เสี่ยวอี้ “แม่นาง นี่ของที่เจ้าสั่ง เก็บไว้ให้ดีล่ะ”
กู้เสี่ยวอี้ยิ้มอย่างชอบใจและรับผ้าสีเทาผืนนั้นมากอดไว้ในอ้อมแขนราวกับว่าได้รับสมบัติล้ำค่า นางมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยรอยยิ้มหวาน “ท่านพี่ ผ้าผืนนี้งดงามจริง ๆ ถึงแม้ว่าสีของมันจะไม่ได้สดใสเหมือนสีอื่น แต่มันมีความงามในแบบของมัน สูงส่งมีระดับ มีความแวววาวในความเรียบง่าย และมีความหรูหราในแบบของมัน”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นหญิงสาวที่ไหนชื่นชอบผ้าสีเทาเช่นนี้มาก่อน
ท่านอาจารย์เลี่ยวมองไปที่กู้เสี่ยวอี้ด้วยรอยยิ้มอย่างประหลาดใจเล็กน้อย เด็กคนนั้นกอดผ้าผืนนั้นไว้ราวกับเป็นของมีค่า ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป หลังจากนั้นก็ทักทายกู้เสี่ยวหวานสองพี่น้องแล้วเดินจากไป
รถม้าพึ่งออกไป ท่านอาจารย์เลี่ยวสั่งให้ฉางกุ้ยนำผ้าผืนใหม่ออกมาเพื่อมาแทนผ้าผืนสีเทาเมื่อครู่ เป็นตอนนั้นเองมีชายคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวเดินผ่านม่านเข้ามา
เห็นเพียงดวงตาของชายผู้นั้นที่มีสีดำขลับราวกับหยกดำ ผิวพรรณเหลืองนวล และเกล้าผมสูงแบบเรียบง่าย ส่วนผมที่เหลือดำสนิทเหมือนกับสีของน้ำหมึกกระจายอยู่ตรงหน้า ภายใต้แสงที่ส่องสุกสกาว ใบหน้าก็มีรอยยิ้มที่สดใสและอ่อนโยน
เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ฟันขาวเป็นประกายยามต้องแสงแดดและรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่สามารถมองเห็นได้ราง ๆ
เขาเดินผ่านม่านเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เปล่งประกาย แม้แต่ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เหมือนเด็กที่โดดเด่น และรอยยิ้มที่สดใสเหมือนพระจันทร์
“ลุงเลี่ยว ฉางกุ้ย”
ฉางกุ้ยที่กำลังวางของเมื่อได้ยินเสียงก็หันไปมอง ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็กระโดดลงจากเก้าอี้อย่างตื่นเต้น “นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว”
“นายน้อย” ท่านอาจารย์เลี่ยววางกระดาษพู่กันลงแล้วรีบวิ่งมาข้างหน้า
ไม่ได้เจอกันครึ่งเดือน เถ้าแก่น้อยผอมลงอีกแล้ว
ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยฝุ่น คิดว่าคงลำบากไม่น้อยเลย
“ฉางเซิง ที่ผ่านมาเจ้ารับใช้นายน้อยอย่างไร นายน้อยถึงได้ผอมเช่นนี้” มองดูเด็กที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เจอกันเพียงครึ่งเดือน แต่กลับผอมมากขนาดนี้ ท่านอาจารย์เลี่ยวดึงเสิ่นเหวินเจวี้ยนมามองสำรวจร่างกาย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ มองดูฉางเซิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา หลังมองเสร็จก็โมโหจนหนวดเคราแทบตั้ง
“เจ้าดูแลนายน้อยอย่างไรให้นายน้อยเหนื่อยและผอมมากขนาดนี้ แต่เจ้ากลับขาว ๆ อ้วน ๆ จนจะกลายเป็นนายน้อยแล้ว”
ฉางเซิงโบกมือและพูดว่า “ลุงเลี่ยว ข้าก็ไม่ได้อดอยาก แต่นายน้อยไม่ให้ข้าทำอะไรเลย เขาทำด้วยตนเองหมดเลย”
“ลุงเลี่ยว อย่าโทษเขาเลย ครั้งนี้พวกเราก็ได้ของมาไม่น้อย ฉางเซิงรีบเอาของออกมาเร็ว”
เสิ่นเหวินเจวี้ยนพูดอย่างเฉยเมย หลังจากนั้นก็ชำเลืองมองตะแกรงตรงนั้น ชี้นิ้วออกไปแล้วพูดว่า “ผ้าสีเทาผืนนั้นขายไปแล้วหรือ”
ท่านอาจารย์เลี่ยวพยักหน้า “ขายไปแล้ว เพิ่งขายไปเมื่อครู่นี้เอง”
“ผ้าผืนนั้นมีสีที่ดูเรียบง่าย ถึงสีจะไม่สวยไม่สดใสเท่าสีอื่น แต่ก็มีความสวยงามในแบบของมัน สูงส่งมีระดับ มีความแวววาวในความเรียบง่าย และมีความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสื้อผ้าที่ทำออกมาต้องงดงามอย่างแน่นอน ครั้งนี้ข้าคิดว่าถ้ายังขายไม่ออก กลับมาครั้งนี้ข้าจะเก็บผ้าผืนนั้นไว้เสียเอง คิดไม่ถึงเลยว่าจะขายออกไปแล้ว”
คำพูดของนายน้อยเหมือนกับคำพูดของแม่นางที่พูดเมื่อครู่ก่อนที่นางจะจากไป
ท่านอาจารย์เลี่ยวเคยได้ยินนายน้อยพูดว่าผ้าสีเทาผืนนั้นดีเสมอ เมื่อครู่ได้ยินคำชมของแม่นางเกี่ยวกับผ้าผืนนี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของนายน้อยที่เหมือนกับคำพูดของแม่นางคนนั้น เขาก็แปลกใจไปชั่วขณะ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะนายน้อยเพิ่งมาถึง ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่านายน้อยอยู่ในร้านตลอดเวลาและต้องได้ยินสิ่งที่แม่นางคนนั้นพูดแน่นอน