ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1419 อวี้ซูกลับมาแล้ว
บทที่ 1419 อวี้ซูกลับมาแล้ว
“หวานเอ๋อร์ ทั้งหมดของข้าก็คือเจ้า ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต ข้าก็ล้วนให้เจ้า ในชีวิตของข้า ข้าไม่สามารถทำอันใดได้ถ้าไม่มีเจ้า” ฉินเย่จือขยับเข้าไปในอ้อมกอดของกู้เสี่ยวหวาน ซบใบหน้าลงตรงซอกคอหอมกรุ่น กลิ่นหอมหวานนั้นโชยมากระทบปลายจมูกของเขา มันทำให้อารมณ์อันสงบของเขากลับมาแปรปรวนอีกครั้ง
เดิมทีกู้เสี่ยวหวานไม่เคยได้ยินคำบอกรักมากมายเช่นนี้จากฉินเย่จือ เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ จึงรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย
ลำคอของนางสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่ร้อนอุ่น นางเพิ่งสังเกตว่าฉินเย่จือกำลังร้องไห้
“พี่เย่จือ…” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงประหลาดใจและพยายามผละออกจากอ้อมกอดของฉินเย่จือ แต่กลับถูกอ้อมแขนของฉินเย่จือรัดแน่นขึ้น จนขยับไม่ได้แม้แต่น้อย
“หวานเอ๋อร์ เจ้าอยู่เฉย ๆ” เสียงเรียกที่นุ่มนวลแผ่วเบาของฉินเย่จือ สะกดให้สติของนางหายไปราวกับต้องคำสาป
รอจนเมื่อฉินเย่จือจากไป กู้เสี่ยวหวานรู้สึกมีความสุขพลางรู้สึกถึงไอร้อนบริเวณลำคอของนาง
ฉินเย่จือร้องไห้ เดิมทีนางไม่เคยแม้แต่ได้เห็นน้ำตาของฉินเย่จือ แต่วันนี้กลับได้เห็น ฉินเย่จือร้องไห้จริง ๆ
“พี่ใหญ่ฉินช่างดีกับคุณหนูจริง ๆ ถึงได้ส่งของมามากมายเช่นนี้” อาจั่วมองกู้เสี่ยวหวานอยู่ตลอดโดยไม่พูดอะไรสักคำ และรีบปลอบใจนาง
กู้เสี่ยวหวานมองไปยังสิ่งของที่อยู่ในกล่องสองสามใบ พร้อมพยักหน้าน้อย ๆ
สำหรับนางแล้ว ฉินเย่จือนั้นดีจนหาคำไหนมาเปรียบไม่ได้
“งั้นคุณหนูยังมีเรื่องใดต้องกลุ้มใจอีกหรือ”
“ข้าเพียงแค่คิดว่า ข้ากู้เสี่ยวหวานคนนี้มีดีอะไรที่ทำให้ผู้ชายที่ดีเช่นนี้มารักได้ ทั้งยังรักข้ามากมายขนาดนี้” กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจ สุดท้ายนางก็หัวเราะกับตัวเอง “มีบางครั้งที่ข้าคิดขึ้นมา ข้ารู้สึกราวกับว่านี่คือความฝัน”
อาจั่วได้ยินเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่ากู้เสี่ยวหวานนั้นเศร้าเพราะเรื่องนี้ จึงหลุดยิ้มออกมา แล้วปิดปากพร้อมพูดว่า “คุณหนู ท่านไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเลย ท่านคงจะไม่รู้ว่าตัวท่านนั้นสุดยอดเพียงใด บางครั้งที่อาจั่วมองไปที่ท่าน มักคิดเสมอว่าถ้าอาจั่วเป็นผู้ชาย ก็ต้องถูกแม่นางคนนี้ดึงดูดความสนใจแน่นอน”
กู้เสี่ยวหวานเป็นคนที่มีท่าทางมั่นใจอยู่เสมอ ไม่ว่านางจะทำอะไร มันก็ทำให้คนคิดเสมอว่านางจะต้องทำสำเร็จแน่ และจะไม่ทำให้ใครผิดหวัง หรือไม่ทำให้ใครรู้สึกไม่สบายใจ
ร่างบางฉายแววความมั่นใจบางอย่างออกมา ความมั่นใจของนางมักดึงดูดผู้คนให้หลงใหลในตัวนาง
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินอาจั่วใช้ตัวเองเป็นตัวเปรียบเทียบเพื่อยกย่องนาง ความหดหู่ภายในใจของนางก็หายไป ปิดปากยิ้มพูดว่า “ปากของเจ้านี่ช่างวิเศษจริง ๆ”
ยังคงมีความไม่แน่ใจ นางต้องบอกเรื่องนี้กับเจ้านายโดยเร็ว
เมื่อความขมุกขมัวในใจหายไป กู้หนิงผิงที่อยู่ว่าง ๆ ก็อยากจะไปเยี่ยมเยียนถานอวี้ซูสักหน่อย ยิ่งอาการป่วยของนางหายเร็วยิ่งดี
ขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังเตรียมข้าวของให้กู้หนิงผิงอยู่ที่บ้าน ถานอวี้ซูก็เข้ามา
ประจวบเหมาะกู้หนิงผิงไม่อยู่บ้านพอดี กู้เสี่ยวหวานจึงรีบส่งคนไปตามเขากลับมา แล้วจึงทักทายถานอวี้ซู
เมื่อถานอวี้ซูเข้ามาก็เห็นกู้เสี่ยวหวานที่กำลังยิ้มให้นางอย่างแฝงความนัยราวกับกำลังคิดเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับกู้หนิงผิง นางคิดว่ากู้หนิงผิงต้องบอกเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองให้กู้เสี่ยวหวานทราบแล้วเป็นแน่ ดังนั้นจึงอดหน้าแดงไม่ได้ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไร
“พี่เสี่ยวหวาน…” ถานอวี้ซูเอ่ยเสียงแผ่วอย่างเขินอายหลังจากนั่งลง
ตั้งแต่ที่นางและกู้หนิงอันปรับความเข้าใจกัน นางก็ไม่ได้พบหน้ากู้เสี่ยวหวานอีกเลย เรื่องระหว่างนางและกู้หนิงผิง เดิมทีนางต้องเป็นคนบอกกู้เสี่ยวหวานด้วยตนเอง
“ยังเรียกข้าว่าพี่เสี่ยวหวานอยู่อีกหรือ” กู้เสี่ยวพูดหยอกล้อ “ไม่ใช่ว่าเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านพี่หรือ? ได้ฟังเช่นนี้ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความสนิทชิดเชื้อ ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็ต้องกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ถึงแม้ถานอวี้ซูจะมีนิสัยขี้เล่น แต่เมื่อได้ยินคำนี้ ใบหน้าก็ขึ้นสีแดงก่ำ
โชคดีที่การสนทนาระหว่างนางและกู้เสี่ยวหวานเกิดขึ้นในห้อง ยังดีที่มีเพียงแค่อาจั่วกับอาอวี้เท่านั้น แก้มของอวี้ซูร้อนผ่าว แต่ปากกลับเรียกท่านพี่เสียงหวาน
กู้เสี่ยวหวานตอบด้วยรอยยิ้ม มองหญิงสาวตรงหน้า ยิ่งมองยิ่งชอบ
“อวี้ซู ร่างกายเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ ช่วงเวลานี้ข้าไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเจ้าเลย” ข้อแรกคือ นางไม่อยากรบกวนการพักฟื้นของถานอวี้ซู ข้อที่สองคือ นางต้องการให้เวลาที่มีเพียงน้อยนิดกับกู้หนิงผิง เพื่อให้ทั้งสองมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น
ชั่วพริบตาเดียว อีกสองวันกู้หนิงผิงก็ต้องจากทุกคนไปที่ค่ายทหารแล้ว
ถึงแม้กู้เสี่ยวหวานจะไม่ให้เขาไป แต่เพื่ออนาคตของกู้หนิงผิง นางจึงจำเป็นต้องอดกลั้นไว้
“ดีขึ้นเยอะแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีก็ไม่ได้ป่วยหนักอะไร ไม่ต้องเชิญคนมามากมายอะไร ท่านปู่คงเครียดเกินไป” หลังจากทั้งสองพูดคุยกันได้สองสามคำ จากนั้นถานอวี้ซูจึงแสดงความร่าเริงออกมา เทียบไม่ได้เลยกับท่าทางที่สงวนไว้เมื่อครู่
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า และเข้าใจหัวอกคนเถ้าคนแก่
พ่อและแม่ของถานอวี้ซู พวกเขาไม่อยู่แล้ว ถานเย่สิงเหลือเพียงหลานสาวสุดที่รัก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง เกรงว่าถานเย่สิงคงไม่กล้าแม้แต่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ท่านแม่ทัพถานเพียงเป็นห่วงเจ้า เป็นใครก็ต้องเครียดแน่” กู้เสี่ยวหวานพูดพลางมองถานอวี้ซูที่กำลังพยักหน้า “ข้ารู้ว่าท่านปู่นั้นดีกับข้า ถ้าวันนี้ไม่ใช่เพราะท่านปู่อนุญาต เกรงว่าข้าก็คงจะไม่ได้ออกมา”
ถานอวี้ซูพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่ได้ยินว่าท่านมาถึงเมืองหลวงแล้ว ท่านดีใจเป็นอย่างมาก บอกว่าสักวันจะต้องมาต้อนรับท่าน”
“อะไรนะ” กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ท่านแม่ทัพถานยังจำข้าได้รึ”
นางเป็นเพียงเสี้ยนจู่ระดับห้า แต่ถานเย่สิงเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้แล้ว แต่ท่านแม่ทัพคนนี้ยังจำนางที่เป็นเพียงชาวบ้านตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งได้จริงหรือ
“จำได้สิเจ้าค่ะ” ถานอวี้ซูพูดด้วยความดีใจ “ตอนนั้นท่านช่วยข้าไว้ ท่านปู่รู้สึกขอบคุณท่านอยู่ตลอดเวลา แต่ยังไม่มีโอกาส ท่านมาถึงเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีของพวกเราแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานเห็นถานอวี้ซูดีใจเช่นนี้ นางก็พยักหน้าตอบ
“ท่านพี่… พี่หนิงผิงต้องเข้าไปฝึกในค่าย ท่านว่าข้าควรบอกท่านปู่ ให้ท่านปู่กับคนในค่ายคอยดูแลเขาดีหรือไม่” จู่ ๆ ถานอวี้ซูก็ขอให้ทุกคนออกไปก่อน แล้วพูดกับกู้เสี่ยวหวานตามลำพัง