ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1420 ตัวเจ้าหอมมาก
บทที่ 1420 ตัวเจ้าหอมมาก
“ข้าเคยไปที่สนามรบมาก็มาก จะอยู่หรือตายนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ข้ากลัวว่าถ้าพี่หนิงผิงไปจะเกิดอันตรายอะไรขึ้น ถ้าให้คนในค่ายคอยดูแล พี่หนิงผิงก็คงไม่ลำบากมาก”
ถานอวี้ซูนั้นมีเจตนาดี แต่กู้เสี่ยวหวานกลับรู้สึกว่าเจตนาเช่นนี้คงไม่ค่อยเหมาะมากนัก
“เจ้าปรึกษากับหนิงผิงแล้วหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ หลายครั้งที่ข้าอยากจะพูดเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกอายที่จะพูดออกมา” ถานอวี้ซูตอบพลางส่ายหน้า
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมพูดว่า “นั่นก็ดีแล้ว เจ้าอย่าถามหนิงผิงเลยว่าอยากไปค่ายทหารไหม นั่นเป็นสิ่งที่เขาเลือก แม้ว่าที่ค่ายทหารนั้นจะทั้งเหนื่อยทั้งลำบาก ถึงขนาดตายได้ทุกยาม แต่นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง นั่นก็เพื่ออนาคตอันสวยงามที่เขาจะสามารถยืนเคียงข้างเจ้าได้อย่างมีเกียรติ ดังนั้นความช่วยเหลือที่เจ้ามอบให้ มันอาจไม่ช่วยอะไรเขา ตรงกันข้าม มันจะเป็นสิ่งที่ผูกมัดหนิงผิง หนิงผิงเป็นผู้ชาย ปล่อยให้เขาต่อสู้กับความลำบากด้วยตัวเองเถอะ เมื่อโคลนถูกชะล้างแล้ว จะทำให้เขาเติบโตขึ้น”
กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยความจริงจัง
ในใจยังมีหลายอีกคำพูดที่ยังไม่ได้พูดออกไป
กู้หนิงผิงไปค่ายทหารเพราะต้องการได้รับเกียรติ และเพื่อสามารถแต่งงานกับถานอวี้ซูได้อย่างเชิดหน้าชูตา นั่นเพราะเป็นสิ่งที่เขาเลือกและต้องการพยายามด้วยตัวเอง เพื่ออนาคตและความสุขของอวี้ซู
หากการไปค่ายทหารขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของถานเย่สิงและถานอวี้ซู แม้ว่ากู้หนิงผิงจะได้รับเกียรติ ก็คงรู้สึกว่าเกียรติที่ได้รับมานั้นไม่ยุติธรรม
ดังนั้นถานอวี้ซูจึงควรปล่อยให้กู้หนิงผิงเผชิญหน้ากับทุกสิ่งด้วยตัวเอง
ถานอวี้ซูขมวดคิ้ว “ท่านพี่ ข้าก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่การใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารนั้นค่อนข้างลำบาก”
“เจ้าเด็กโง่ ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีกับหนิงผิง แม้ค่ายทหารนั้นจะมีความยากลำบาก แต่ทุกคนในค่ายล้วนต้องผ่านความลำบากเช่นนี้เหมือนกัน ข้าได้ยินว่าท่านแม่ทัพใหญ่ถานก็เคยฝึกเยี่ยงสามัญชนอยู่ตั้งนานหลายปี อาศัยความอดทนอุตสาหะของตนเองจึงได้รับเกียรติมากมายเช่นนี้ ข้าคิดว่าหนิงผิงก็คงอยากเป็นแม่ทัพถานคนที่สอง ไม่อยากเป็นเหมือนหอยทากที่ต้องการการปกป้องแค่เปลือก แม้ว่าจะได้รับการปกป้อง แต่เปลือกนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่รั้งความทะเยอทะยานของเขา อวี้ซู… เจ้ารู้ไหมว่าทำไมนกอินทรีถึงบินได้สูงตอนที่พวกมันยังเป็นนกอินทรีหนุ่ม นั่นเป็นเพราะพวกมันผ่านความยากลำบากมามาก เผชิญกับโอกาสที่จะตายตกได้ทุกเมื่อ ถึงจะสามารถบินสูงขนาดนี้บนท้องฟ้า และกลายเป็นเจ้าแห่งท้องนภาได้ในที่สุด”
“ท่านพี่…” หลังจากที่ถานอวี้ซูได้ฟัง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้า “ท่านพี่ ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านจะบอกแล้ว ข้ารู้ว่าข้าควรทำอย่างไร”
จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงดีใจดังขึ้นจากด้านนอกประตู จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก
กู้หนิงผิงวิ่งเข้ามาจากด้านนอก และเมื่อเห็นอวี้ซูก็รู้สึกปราบปลื้ม รีบไปที่ข้าง ๆ ถานอวี้ซูพร้อมกอดนางไว้ในอ้อมแขน
กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ข้าง ๆ มองดูคนทั้งสองแสดงความรักต่อกันจนลืมพี่สาวคนนี้เสียแล้ว จากนั้นก็พึมพำกับตนเอง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของถานอวี้ซูดังขึ้น “พี่หนิงผิง ท่านพี่ยังอยู่”
ได้ยินดังนั้น กู้หนิงผิงจึงปล่อยถานอวี้ซูออกจากอ้อมกอดแล้วมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน พลางเกาหัวอย่างรู้สึกผิด “ท่านพี่ ข้าไม่รู้ว่าท่านอยู่ด้วย”
“เจ้าล้อเล่นอยู่หรืออย่างไร ที่นี่คือบ้านข้า ถ้าข้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วข้าจะไปอยู่ที่ไหน” กู้เสี่ยวหวานจงใจพูดหยอกล้อ “เกรงว่าพอมีความรักก็คงลืมพี่สาวคนนี้เสียแล้ว เช่นนี้เรียกว่าความเสน่ห์หา พี่สาวคนนี้ก็คงกลายเป็นอากาศเสียแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานแสร้งทำเป็นโกรธ คาดไม่ถึงว่ากู้หนิงผิงจะรู้สึกร้อนรน ก้าวมาข้างหน้าแล้วตอบด้วยความเขินอายว่า “ท่านพี่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าได้ยินคนพูดว่าอวี้ซูมา ข้าก็แค่…”
เขาได้ยินคนพูดว่าถานอวี้ซูมาที่สวนชิง สวรรค์ย่อมรู้ว่าเขามีความสุขแค่ไหน เขาดีใจจนแทบจะบินได้ จำได้เสียที่ไหนว่าเรียนการต่อสู้กับอาโม่อยู่ เขาทิ้งข้าวของ ทิ้งอาโม่ไว้ แล้วรีบวิ่งกลับมาที่สวนชิง
เมื่อมาถึงสวนชิงและรู้ว่าถานอวี้ซูอยู่ในห้องของพี่สาว ก็วิ่งมาไม่หยุด แม้แต่เหงื่อก็ไม่เช็ด เมื่อได้ยินเสียงของอวี้ซูจากด้านนอก หัวใจที่นิ่งสงบก็กลับมาเต้นแรง
ระหว่างทางเขาคิดถึงแต่ถานอวี้ซู เพียงสามคำนี้ราวกับเป็นยาเสน่ห์ทำให้เขาหูตาพร่ามัว รู้สึกมีความสุขจนสติแทบเลอะเลือน
แม้แต่พี่สาวก็ไม่สังเกตเห็น…
แต่เขาไม่ทันสังเกตเห็นจริง ๆ เมื่อได้ยินเสียง ได้เห็นอวี้ซู ใจของเขาก็ล่องลอยจนไม่มีใจไปมองเห็นคนอื่นอีก
“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้ารีบกลับมา เจ้าดูตัวเองสิ เหงื่อท่วมตัวเชียว อย่าเอาเหงื่อเจ้าไปโดนอวี้ซู เจ้ารีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแล้วค่อยมาเถอะ”
เดิมทีกู้หนิงผิงกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาโม่ เมื่อคิดขึ้นมาได้ระหว่างทางที่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแดงก่ำจากการวิ่ง ร่างกายก็ราวกับคนที่พึ่งขึ้นมาจากน้ำ และได้กลิ่นเหงื่อรุนแรงจากระยะไกล กู้เสี่ยวหวานกังวลว่าจะทำให้ถานอวี้ซูนั้นเป็นลม
ถานอวี้ซูปิดปากพลางยิ้ม กู้หนิงผิงถึงรู้ว่าตนเองใจร้อนเกินไป จึงก้มมองสำรวจเสื้อผ้าบนตัว… ใช่จริง ๆ ด้วย!
เปียกโชกราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ ทั้งยังได้กลิ่นเหงื่อจากตัวจริง ๆ
ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขิน “อวี้ซู งั้นข้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะรีบมา”
สายตาของเขายังคงไม่ละไปจากถานอวี้ซูในยามที่พูด กู้เสี่ยวหวานได้แต่มองอย่างหยอกล้อ “เจ้าสบายใจได้ เจ้ารีบไปเถอะ ข้าจะดูแลอวี้ซูและทานอาหารก่อนไป รีบไปเถอะ ตัวเจ้ามีแต่เหงื่อเหม็นไปหมดแล้ว”
กู้หนิงผิงหน้าแดงและรู้สึกว่าตนเองนั่นถูกพี่สาวล้ออีกแล้ว หากแต่เขาไม่ได้โกรธแต่อย่างใด สายตาเอาแต่มองไปที่ถานอวี้ซู
จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออ่อนนุ่นดึงมือตนเองขึ้น และลูบบนฝ่ามือของเขาอย่างระมัดระวัง เล็บที่ถูกตัดให้กลมมนไถลไปมาบนฝ่ามือของเขาอย่างนุ่มนวลราวกับลูกแมวข่วน นุ่ม ๆ คัน ๆ
“พี่หนิงผิง ข้าจะรอท่าน” จากนั้นจึงกระซิบกับกู้หนิงผิงด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน “พี่หนิงผิง ตัวท่านหอมมาก”
กู้หนิงผิงยังคงกังวลกับสถานการณ์ที่ยากลำบากของตนเองเมื่อครู่จะทำให้ถานอวี้ซูกลัว ในใจยังคงกังวลเล็กน้อย แม้ว่ากลิ่นเหงื่อบนร่างกายของเขาจะไม่ชัดมาก แต่เด็กสาวนั้นมักจะจมูกไว เมื่อครู่เขากอดนางอย่างลืมตัว กลิ่นเหงื่อบนตัวเขาอาจทำให้นางหายใจไม่ออก
เดิมทีใจเขานั้นรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินถานอวี้ซูบอกว่าตัวเขานั้นหอมมาก กู้หนิงผิงรู้สึกดีใจจนอยากกระโดดโลดเต้น