ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1427 ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1427 ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ซูจือเยว่เห็นแล้วรู้สึกวูบวาบในใจ แต่เขาไม่กล้าที่ดูหมิ่นบุคคลนี้ จากนั้นกระตุกยิ้มมุมปาก “หลินซื่อจื่อ*[1] ข้าไม่รู้เหมือนกันว่านางเป็นใคร เพียงแต่เห็นว่ากิจการของร้านฝูจิ่นนั้นดีมาก ข้าก็เลยจับตามอง”
เมื่อซูหลินได้ยินซูจือเยว่กล่าวว่ากิจการของร้านฝูจิ่นนั้นดี แต่ซุ่ยอวี้กู่ไจยังไม่ได้รับสูตรอาหารลึกลับเหล่านั้นจากร้านฝูจิ่นเลย จึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ร่องรอยของความโกรธปรากฏชัดบนใบหน้าของซูหลิน ดวงตามองไปยังผู้คนที่พลุกพล่านในห้องโถงพลางสบถขึ้น “มันจะมีอะไรมาสู้กับร้านซุ่ยอวี้กู่ไจได้ หาเงินได้มากก็ใช่ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อใช้เงิน”
ประกายแวววาวฉายแววชั่วร้ายในดวงตาของซูหลิน และในทันทีเขาก็ไม่สนใจซูจือเยว่และเดินตรงไปยังห้องรับรองที่หรูหรา
ซูจือเยว่มองไปที่ซูหลินด้วยใบหน้าที่ดุร้าย นิ่งเงียบไม่พูดจา หากแต่ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อร่างของซูหลินหายลับเข้าไปในห้องรับรองแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไป และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความโกรธ เขากำด้ามพัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่ายหัวและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เมื่อหันกลับมาและมองไปยังทิศทางที่หญิงคนนั้นอีกครั้ง ก็พบว่านางจากไปแล้ว และเขาก็ตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ
…
กู้เสี่ยวหวานยังคงกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของถานเย่สิง เช้าวันรุ่งขึ้น ถานอวี้ซูมาหาด้วยตนเองโดยบอกว่าเมื่อคืนนี้ท่านปู่ของนางฟื้นแล้ว เขายังมีชีวิตอยู่และสบายดีเหมือนคนปกติ เขาหลับไปเพียงแค่สองสามวัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กระปรี้กระเปร่ากว่าเดิม
แม้ว่าในใจของของกู้เสี่ยวหวานจะยังสงสัย แต่เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของถานอวี้ซู นางอาจไม่รู้หลายสิ่งหลายอย่างด้วยตัวเองอย่างถ่องแท้ ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงต้องกลืนความสงสัยทั้งหมดลงในท้อง
“ท่านพี่ พรุ่งนี้วันที่สิบเก้า ไปวัดไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเถอะ” ถานอวี้ซูอยากจะไปไหว้พระขอพรเกี่ยวกับสุขภาพของท่านปู่
นางไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีและเทพเจ้าเหล่านี้ แต่ร่างกายของท่านปู่กำลังเปลี่ยนจากดีเป็นร้าย ซึ่งทำให้นางกลัวมาก
“ต้องเป็นเพราะพระพุทธเจ้าตำหนิข้าที่ไม่ไปที่นั่น ร่างกายของท่านปู่จึงเป็นเช่นนี้” ถานอวี้ซูกล่าวอย่างรู้สึกผิด แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่เชื่อ แต่นางก็เดินทางมาที่นี่ด้วยจิตวิญญาณของนาง นางลองคิด ๆ ดูแล้ว มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นมากมายพอสมควร ซึ่งอธิบายไม่ถูก เมื่อนึกได้ว่านางมาต่างโลกนานแล้ว แต่ยังไม่ได้จุดธูปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ จัง ๆ เลย จึงพยักหน้าเห็นด้วยกับถานอวี้ซู
พวกนางทั้งสองทำข้อตกลงว่าพรุ่งนี้รถม้าของถานอวี้ซูจะมารับกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อฉินเย่จือกลับมาในตอนเย็น เขาได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังจะไปไหว้พระกับถานอวี้ซู ดังนั้นเขาจึงบอกให้นางพาอาจั่วและอาโม่ไปด้วย และระมัดระวังเมื่อออกไปข้างนอกตามลำพัง เมื่อเห็นว่าเขาระมัดระวังแค่ไหน กู้เสี่ยวหวานยิ้มและแอบบ่นพึมพำเล็กน้อย เมื่อฉินเย่จือเห็นเช่นนั้น เขาจึงก้มลงไปจูบริมฝีปากสีดอกกุหลาบของนาง ทำให้นางหายใจไม่ออก ฉินเย่จือจึงปล่อยนางไปและลูบไล้ริมฝีปากของเขาด้วยความพึงพอใจ “แต่อย่างไรก็เถอะ วันนี้ปากของข้าไม่มีเรื่องให้ทำอยู่แล้ว ข้าสามารถซุกซนได้ทั้งคืน”
กู้เสี่ยวหวานยิ้มและชกเขาเบา ๆ แต่สำหรับฉินเย่จือมันไม่ต่างอะไรกับการตีหลังเขา เขาจับมือเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่สุขเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองได้แต่ถกเถียงกันอย่างมีความสุข
ในเช้าตรู่ของวันถัดมา กู้เสี่ยวหวานตื่นแต่เช้า และในขณะที่นางกำลังจะเตรียมตัวออกไปข้างนอก รถม้าของถานอวี้ซูก็มาถึงที่ประตูสวนชิง
รถม้าที่ถานอวี้ซูใช้เป็นรถม้าที่ดูธรรมดา ๆ
และยังเห็นเกี้ยวถูกลากโดยม้าสองตัว รถม้าภายนอกดูเรียบง่าย มีสีน้ำเงินและสีขาว มันสง่างาม ทว่ามันก็เป็นเพียงรถม้าธรรมดา
อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้ามานั่งในรถม้าแล้ว การตกแต่งที่หรูหราภายในทำให้กู้เสี่ยวหวานตะลึงงัน
รถม้าปูด้วยผ้าทอเจียงหนานสีฟ้าอ่อน และผ้าม่านภายในทำจากผ้าปักลายซูโจวคุณภาพสูง ที่นั่งนุ่ม ๆ และแม้แต่หมอนใบเล็ก ๆ บนพนักพิงก็ถูกปักลวดลายอย่างประณีต
แม้รถม้าจะไม่ได้แสดงออกว่าเป็นของตระกูลถาน แต่ถานอวี้ซูนำไปใช้ในวันธรรมดาจริง ๆ ตราบใดที่นางไม่ได้ไปยังวังหลวง นางก็เพียงนั่งรถม้าธรรมดา ๆ แบบนี้เสมอ
ของตกแต่งภายในมีทั้งถ้วยดินเผาที่สวยงาม หม้อขนาดเล็กสำหรับต้มน้ำ และเตาถ่านขนาดเล็ก แม้แต่เตาถ่านก็ยังทำจากเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพสูง
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในรถม้า นางเห็นถานอวี้ซูกำลังนั่งเอนหลังพิงพนักพิงรอนางอยู่ และมีอาอวี้อยู่ข้าง ๆ นางคุกเข่าและนั่งลงเพื่อชงชา และชาที่ชงไว้ก็ถูกวางไว้ตรงหน้าของกู้เสี่ยวหวาน ชาร้อนกรุ่นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่น
“ท่านพี่ วัดกว่างหยวนอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง แต่เนื่องจากตั้งอยู่บนยอดเขา เราจึงยังต้องใช้เกี้ยวเพื่อขึ้นไปเมื่อไปถึงตีนเขา”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า ดูเหมือนว่าเกี้ยวสองหลังจะถูกใช้เพื่อจุดประสงค์นี้
“แต่เดิมมีวัดสามแห่งในเมืองหลวง วัดหนึ่งเป็นวัดที่ฮ่องเต้และฮองเฮาใช้บูชาและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนธรรมดาไม่สามารถเข้าไปได้ และอีกวัดหนึ่งเป็นวัดฮู่กั๋วที่ราชวงศ์และบุคคลสำคัญจุดธูปบูชาพระพุทธเจ้าในวันธรรมดา มันอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนักและอยู่ที่เชิงเขา จึงเดินทางไปได้สะดวกมาก แต่ที่เราจะไปไม่ใช่ที่นี่ ทุกคนบอกว่าถึงวัดกว่างหยวนจะอยู่ไกล แต่มันเป็นที่ที่มีจิตสูงสุดของพระพุทธเจ้า ท่านปู่บอกว่าเดี๋ยวนี้เวลาไปไหว้พระก็จะไปวัดบนยอดเขาซึ่งอยู่ใกล้ฟ้าที่สุดและจิตเป็นธรรมชาติที่สุด” ถานอวี้ซูกล่าว
ร่องรอยของความขุ่นเคืองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “ในตอนแรกท่านปู่ของข้าไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า แต่หลังจากหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในครอบครัว เขาก็เริ่มเชื่อ เขาไม่เคยไปวัดฮู่กั๋ว เมื่อต้องการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบูชาพระ พระพุทธรูปล้วนทำด้วยทองคำ ผู้มีเกียรติชอบไปจุดธูปไหว้ศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ วัดยิ่งหรูหรายิ่งบ่งบอกถึงความมีเกียรติ ฮ่า ๆๆๆ”
ใบหน้าของถานอวี้ซูประดับด้วยรอยยิ้ม “พระพุทธเจ้าองค์นี้ที่มีกลิ่นเหมือนทองแดง จะจำความปรารถนาของผู้คนได้หรือ”
กู้เสี่ยวหวานยื่นมือออกมาจับมือของถานอวี้ซูวางไว้บนฝ่ามือของนาง ส่งต่ออุณหภูมิฝ่ามือของนางและพูดว่า “ปัญหาของมนุษย์มากเกินไปจะทำให้จิตใจของพระพุทธเจ้าเสียสมาธิ หากเราต้องการบูชา โดยธรรมชาติแล้วเราต้องภาวนาให้ตัวเราไม่คิดฟุ้งซ่านและมีสติอยู่เสมอ”
*[1] ซื่อจื่อ มีไว้เรียกลูกชายผู้ที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ของผู้เป็นพ่อเท่านั้น ซึ่งเหล่าคุณชายของชินอ๋อง อ๋อง ผู้มีบรรดาศักดิ์จะถูกเรียกว่าซื่อจื่อ