ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1432 หลีกเลี่ยงนาง
บทที่ 1432 หลีกเลี่ยงนาง
ทันใดนั้นก็คิดอะไรบ้างอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปราวกับพลิกหน้าหนังสือ สีหน้าดุร้ายเมื่อครู่พลันหายไป แทนที่ด้วยสีหน้าอันอ่อนหวาน “พี่จือเยว่ อย่าให้คนอื่นมาทำลายบรรยากาศที่ดีของเราเลย พวกเราไปชมวิวกันเถอะ ครั้งนี้อย่าให้ใครมารบกวนได้”
ซูจือเยว่พยักหน้าและตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ใช่แล้ว ที่นี่วิวสวยมาก พวกเรามาชื่นชมวิวกันเถอะ”
ซูเยว่จือนั้นมีกะจิตกะใจที่จะชมวิวที่ไหนกัน ในที่สุดก็เห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขาตื่นเต้นไม่หยุด
ความสนใจของเขานั้นหายไปนานแล้ว แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบรับคำเชิญจากหมิงตูจวิ้นจู่ และเขาทำได้เพียงระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ เกรงว่าเวลานี้จะทำลายความสนใจของหมิงตูจวิ้นจู่ เมื่อถึงเวลาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้สบสนขึ้น
ซูเยว่จือเดินไปที่ศาลาแปดเหลี่ยมกับซูหมิ่น เพียงเท่านั้นก็หันกลับครู่หนึ่ง สายตาของซูหมิ่นมองมาก็เห็นเงาต้นไม้ที่สั่นไหว ยังไม่ทันกะพริบตา เงาดำนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ถานอวี้ซูดึงกู้เสี่ยวหวานกลับมา ใบหน้าบูดบึ้งด้วยความรู้สึกผิด
“ท่านพี่ ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าจะเจอซูหมิ่นที่นี่ ซูหมิ่นผู้นั้นเป็นแค่คนที่ไม่มีเหตุผล มีความคิดชั่วร้าย ทุกครั้งที่ได้เจอหน้า ข้ามักจะเดินอ้อมไปทางอื่น เดิมทีนางไปไหว้พระที่วัดฮูกั๋ว ไม่คิดว่าวันนี้จะมาที่วัดกว่างหยวน ข้าไม่รู้ว่านางมาทำอะไร แต่งตัวสวยขนาดนั้น เหมือนคนมาไหว้พระเสียที่ไหนกัน”
กู้เสี่ยวหวานเห็นถนอวี้ซูรู้สึกผิดเช่นนี้ เพราะรู้ว่าซูหมิ่นผู้นั้นพุ่งเป้าหมายมาที่ตน
หมิงตูจวิ้นจู่คนนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่คนมีจิตใจดีอะไร ตัวนางเองและคนคนนี้ไม่มีความคุ้นเคยอะไรต่อกัน
“อืม นางเป็นลูกสาวของหมิงอ๋อง เป็นพี่น้องกับฮ่องเต้ และเป็นถึงหลานสาวของอัครมเหสี ฐานะสูงศักดิ์ แต่กลับเป็นคนที่ใจดำอำมหิต ภายนอกดูดีมีเมตตา แต่ภายในเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยม ชีวิตประชาชนคนทั่วไปในใจของนางนั้นเหมือนไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย อยากทำอะไรก็ทำ มาวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วนางเกิดบ้าอะไรขึ้นมา คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะคิดร้ายกับท่าน คอยดูนะ อีกไม่นานข้าจะฉีกหน้านาง วันนี้นางเสียเปรียบแล้ว ข้าไม่ปล่อยนางไว้เด็ดขาด ท่านพี่ อีกไม่นานนางก็จะรู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านต้องระวังคนผู้นี้ให้ดี นางไม่ใช่คนดีอะไรและจะทำให้เราเสียเปรียบได้”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า เห็นถานอวี้ซูรู้สึกผิดเช่นนี้ จึงปลอบใจนางว่า “อวี้ซู เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก เป็นความโชคดีไม่ใช่โชคร้าย ถึงเป็นความโชคร้ายก็ไม่สามารถหลบหนีได้ คนคนนี้มุ่งร้ายข้า ไม่ว่าพบเจอข้าตอนไหนก็ล้วนพุ่งเป้ามาที่ข้า อยู่ที่ว่าเวลาจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”
ถานอวี้ซูรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานนั้นเพียงปลอบใจนาง จึงยิ้มเจื่อน ๆ แค่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วเพียงนี้ แต่ไหนแต่ไรมา นางก็ไม่เคยคิดที่จะให้กู้เสี่ยวหวานและซูหมิ่นมีความแค้นต่อกัน
เพียงแต่ความแค้นในวันนี้ เป็นปมที่ใหญ่เกินไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่มีใครมีกะจิตกระใจอยากจะชมความงามของทิวทัศน์อีกต่อไป จึงรออยู่ในห้องตลอดรออันผิงฝูผู้นั้นเบิกเนตร
ยังดีที่สวดมนต์ค่อนข้างเร็ว รออยู่ครึ่งวัน ใกล้จะถึงเวลาอาหารกลางวัน ผิงอันฝูผู้นั้นก็เบิกเนตรเสร็จแล้ว
ทันใดนั้น เณรน้อยรูปหนึ่งยกถาดเข้ามาด้วยความนอบน้อม หลังจากถานอวี้ซูรับไว้แล้วส่งสายตาบางอย่างให้อาอวี้ อาอวี้จึงนำถุงเงินที่พกไว้ออกมาส่งให้เณรน้อยรูปนั้น เณรน้อยรูปนี้กลับเลี่ยงที่จะรับ ไม่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รับ
อาอวี้จึงพูดว่านี่เป็นเพียงเงินบริจาค เณรน้อยรูปนั้นได้ฟังก็รับไว้ หลังจากชั่งน้ำหนักถุงเงินถุงนั้น จู่ ๆ ใบหน้าก็แดงฉานขึ้นมา “โยมทั้งหลาย ของนี้พวกเรารับไว้ไม่ได้”
ถุงเงินหนักเช่นนี้ เงินบริจาคคงเยอะมาก
“เณรน้อยรูปนี้ประหลาดนัก เงินบริจาคมากนั่นไม่ดีหรือ” อาอวี้ถามกลับด้วยความงุนงง
เณรน้อยรูปนั้นพูดมาเพียงสามคำ พร้อมโยนถุงเงินที่อยู่ในมือกลับไปให้อาอวี้ราวกับมันหวานร้อนที่ลวกมือก็ไม่ปาน ทั้งยังถอยหลังไปสามก้าวราวกับเลี่ยงการติดโรคร้ายแรงอะไรสักอย่าง แล้วหลับตาอธิบาย “อมิตาพุทธ โยมทานข้าวทุกมื้อ”
อาอวี้ไม่รู้ว่าที่เณรน้อยรูปนั้นต้องการจะบอกอะไรกับตน จึงได้รู้สึกงงงวยเล็กน้อย สามมื้ออย่างไรรึ?
เณรน้อยรูปนั้นสายตาแน่วแน่ และใช้เหตุผลตามหลักพระพุทธศาสนา “คนหนึ่งกินสามมื้อต่อหนึ่งวัน พระพุทธเจ้าก็ยังคงเป็นพระพุทธเจ้า”
จากนั้นพยักหน้าให้กู้เสี้ยวหวานและคนอื่น ๆ แล้วเดินออกไป ทิ้งอาอวี้ที่ยังรู้สึกงงงวยกับถุงเงินในมือ
กู้เสี้ยวหวานกลับมองเณรน้อยรูปนี้เดินจากไปด้วยความสงสัย และรู้สึกแปลกประหลาดในใจ
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีพระรูปไหนที่เมินเฉยต่อเงินบริจาคเช่นนี้ วัดกว่างหยวนนี้แปลกจริง ๆ
“ความหมายของเณรน้อยรูปนั้นคือ หนึ่งวันของเรากินข้าวสามมื้อ ไม่มากไม่น้อย พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน บริจาคตามความเหมาะสมก็พอแล้ว” ถานอวี้ซูอธิบาย
อาอวี้กระซิบ “เดิมทีแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นพระรูปไหนเมินเฉยต่อเงินบริจาคมากมายเช่นนี้”
ถึงแม้จะรู้สึกแปลก ๆ แต่เมื่อเห็นเณรน้อยรูปนี้เคร่งครัดในศีลในธรรม วัดนี้ถึงแม้จะดูทรุดโทรม แต่กลับดีกว่าวัดที่ทำด้วยทองหลายเท่า
หลังจากที่ผิงอันฝูรับมา เดิมทีภายในวัดยังมีอาหารมังสวิรัติ แต่กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว หากแต่รอพบหมิงตูจวิ้นจู่ที่หยิ่งยโสผู้นั้น
จนกระทั่งกลับมาที่สวนชิง ไม่นานนักก็มีคนวิ่งกลับมาเพื่อบอกให้หญิงสาวและจวิ้นจู่กลับไปรับประทานอาหารกลางวัน รอจนเมื่อพวกเขามาถึงบ้าน อาหารก็ถูกยกมาไว้เต็มโต๊ะแล้ว
หลังจากทั้งสองทานอาหารแล้ว ถานอวี้ซูจิตใจยังคงรู้สึกไม่สงบ “ท่านพี่ ซูหมิ่นผู้นั้น…” นางขมวดคิ้ว “ข้าไม่ปล่อยนางไปเด็ดขาด”
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม “อวี้ซู เจ้าอย่ากังวลจนเกินไป ถึงแม้นางจะเป็นหมิงตูจวิ้นจู่ แต่นางไม่สามารถทำตัวหยาบคายอย่างไม่มีเหตุผลได้ ไม่ว่าข้าจะเจอสถานการณ์แบบไหนข้าก็หาทางออกได้”
ถึงแม้ใบหน้าของถานอวี้ซูอ่อนลงแล้ว แต่ซูหมิ่นผู้นั้น แท้จริงแล้วเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้านลบมากเสียจนหาความดีไม่ได้ คนเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะนางคือหมิงตูจวิ้นจู่ อีกไม่นานก็คงถูกคนใช้มีดฟันจนตาย
รอจนถึงจวนหมิงอ๋อง หมิงตูจวิ้นจูได้ฟังรายงานจากหลายคน บนใบหน้าที่งดงามก็ปรากฏความสงสัยขึ้นมาแวบหนึ่ง “เจ้าบอกว่านางคือเสี้ยนจู่อันผิง สาวชาวบ้านคนนี้คือคนที่ช่วยเสด็จพี่ฮ่องเต้แก้ไขปัญหาภัยพิบัติ”
ผู้ที่คุกเข่าไม่เงยหน้าขึ้นมอง พยักหน้าและพูดว่า “ไม่ผิดแน่ นางคือเสี้ยนจู่จริง ๆ นางมาจากเมืองหลิวเจียเพื่อมาเข้าเฝ้าไทเฮา”
ซูหมิ่นนอนเอนกายอยู่บนเตียงเล็ก ๆ มีเพียงมือหนึ่งข้างที่ประคองอยู่ มืออีกข้าง เคาะเบา ๆ ที่เตียงหลังเล็กนั้น บนเตียงหลังเล็กมีผ้าห่มหนึ่งชั้น อ่อนนุ่มราวกับนอนอยู่บนฝ้าย ถึงแม้จะเคาะอยู่ แต่ไม่มีเสียงออกมาแม้แต่น้อย