ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1447 แต่งกลอน
บทที่ 1447 แต่งกลอน
ซูหมิ่นผู้นี้เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต หากมีผู้ใดสร้างความก่อกวนใจให้นาง ไม่แน่ว่านางสามารถตัดกู้เสี่ยวหวานออกจากแวดวงนี้ได้จริง ๆ
แต่นางใช้คำพูดที่ชั่วร้ายเช่นนี้มาขัดขวางถานอวี้ซู ก็ไม่สามารถหักล้างกันได้
เพราะว่าสิ่งที่ซูหมิ่นพูดออกมา นางสามารถทำได้จริง ๆ
สถานการณ์ทางนั้นตึงเครียด และกู้เสี่ยวหวานก็สามารถเดาได้ว่าซูหมิ่นหมายถึงอะไร
นางรู้ว่าถ้าหากวันนี้นางไม่แสดงตัว ยามก้าวเดินออกจากจวนหมิงอ๋อง ไม่รู้จริง ๆ ว่าเหล่าคุณหนูตระกูลขุนนางจะจัดการนางอย่างไร
คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่และสูงส่งมาจากไหน
อีกทั้งยังไม่มีความรู้ความสามารถ
ยังถูกเบียดเบียนจากคนเหล่านั้น
ไม่ว่าจะวิธีไหน ล้วนไม่ใช่คนที่นางจะทนได้
กู้เสี่ยวหวานสบถอยู่ในใจ วิธีการกดขี่ข่มเหงของซูหมิ่นผู้นี้มันแปลกจริง ๆ
ฟางเพ่ยหยากลั้นลมหายใจแล้วจ้องมองกู้เสี่ยวหวานอย่างกระวนกระวาย นางไม่สามารถหักล้างการบีบบังคับของซูหมิ่น มีเพียงกู้เสี่ยวหวานเท่านั้นที่ตัดสินใจได้
“ท่านพี่ เราไปกันเถอะ” เมื่อถานอวี้ซูเห็นกู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน ก็เดาได้ว่านางไม่ต้องการแสดงแน่นอน ดังนั้นจึงก้าวข้ามโต๊ะไปข้างหน้าและดึงกู้เสี่ยวหวานขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจ
“เห้อ!” ก่อนที่ซูหมิ่นจะเอ่ยปากตำหนิก็ได้ยินกู้เสี่ยวหวานพูดด้วยรอยยิ้ม “อวี้ซู ไม่อย่างนั้นเจ้ามาช่วยข้าบางอย่างสักสองสามคำ ข้าจะใช้คำที่เจ้าบอกมาแต่งกลอน และแม้แต่คนอื่นก็สามารถเสนอออกมาได้”
อะไรนะ?
แต่งกลอนที่นี่
“อย่างนั้นรายการแรกก็ให้ท่านเสี้ยนจู่อันผิงแสดง” ฟางจู๋อวิ๋นแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ
ทว่าสีหน้าของคนอื่น ๆ เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม และถอนหายใจเบา ๆ ด้วยสายตาเย้ยหยัน
เป็นแค่หญิงสาวชนบทธรรมดา ๆ จะมีความสามารถอะไร ยังจะกล้าแต่งกลอนอีกงั้นหรือ
ถึงเวลานั้นก็อย่าได้แต่งกลอนหมาแมวออกมาล่ะ มิเช่นนั้นจะเป็นการขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย
ฟางจู๋อวิ๋นคิดว่าต่อจากนี้กู้เสี่ยวหวานจะทำเรื่องน่าเกลียดอะไรออกมา ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเบิกบานใจและปิดปากหัวเราะเยาะ
และทุกคนก็มีความคิดคล้ายกับฟางจู๋อวิ๋น ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน ทุกคนมีช่วงเวลา และรอให้กู้เสี่ยวหวานแต่งกลอนมั่วซั่วอะไรออกมาที่ไม่ถูกต้องและเรียบร้อย
“ท่านพี่ ข้าจะออกไปจากจวนหมิงอ๋อง” ตอนแรกที่ถานอวี้ซูได้ยินก็แปลกใจ แต่เมื่อเห็นความแน่วแน่ในสายตากู้เสี่ยวหวาน จึงรู้ว่านางต้องมีแผนการอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อยจึงคิดหาวิธีที่ง่ายกว่านี้
กู้เสี่ยวหวานหัวเราะแล้วคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “แสงจันทร์ที่สาดส่องหน้าเตียงนอน ประดุจน้ำค้างแข็งบนพื้นดิน เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่สว่าง ก้มหน้าลงคิดถึงบ้านเกิด”
“ดี” เมื่อฟางเพ่ยหยาฟังจบ ก็ตะโกนอย่างตื่นเต้นและปรบมือ
“ท่านพี่ ข้าคิดออกอีกอัน ไม้ไผ่” เมื่อถานอวี้ซูเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานได้แต่งกลอนออกมาหลังจากคิดครู่หนึ่ง ก็ตื่นเต้นจนจะโดดโลดเต้นแล้ว
กลอนบทนี้นางไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่ได้เขียนไว้ในหนังสือ ท่านพี่แต่งออกมาเองใช่หรือไม่
ภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของทุกคน ถานอวี้ซูพูดออกมาอีกคำหนึ่ง
กู้เสี่ยวหวานหัวเราะคิกคักคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปาก “เติบใหญ่รวดเร็ว กิ่งก้านนับพันสะสมใบไม้สีเขียวนับไม่ถ้วน ข้าไม่บานเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนจากผึ้งและผีเสื้อ”
“ดีเลย ดีเลย” ถานอวี้ซูปรบมือและพยักหน้าอย่างพึ่งพอใจด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่บานเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนจากผึ้งและผีเสื้อ” ถานอวี้ซูมองไปทางซูหมิ่นด้วยคำพูดที่ซ่อนความหมายและจงใจพูดประโยคสุดท้ายดัง ๆ
เมื่อซูหมิ่นได้ฟังประโยคนี้ สีหน้าก็มืดลงทันที
กู้เสี่ยวหวานผู้นี้กำลังเปลี่ยนคำพูดเพื่อยกย่องตนเองและดูแคลนนาง
เปรียบตนเองเป็นต้นไผ่ที่สูงส่ง เปรียบซูหมิ่นเป็นฝูงผึ้งและผีเสื้อ
สีหน้าของซูหมิ่นตอนนี้ดำมืด สายตาทั้งคู่จ้องมองกู้เสี่ยวหวานราวกับว่าจะจ้องนางไม่วางสายตา
“ไม่ได้ ไม่ได้ แบบนี้ไม่นับ” ฟางจู๋อวิ๋นเห็นถานอวี้ซูพูดมาสองคำ และกู้เสี่ยวหวานก็แต่งกลอนออกมาสองบทที่คล้องจองเรียบร้อย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยบทกลอนที่มีความหมาย นี่ทำให้ประหลาดใจจริง ๆ
พวกนางต้องแต่งไว้ล่วงหน้าแน่นอน
“ไม่นับได้อย่างไร เจ้าบอกเองว่าให้พี่ของข้าแสดงความสามารถอะไรก็ได้ตามใจนางไม่ใช่หรือ” เมื่อถานอวี้ซูได้ยินฟางจู๋อวิ๋นบอกว่าไม่นับ สีหน้าของนางก็มืดมน
เมื่อฟางจู๋อวิ๋นเห็นว่าสีหน้าของถานอวี้ซูมืดมนลงก็หดตัว นางเป็นถึงฮู้กั๋วจวิ้นจู่ แต่ตนเองเป็นแค่คุณหนูสามของตระกูลเสมียน หากทำให้ถานอวี้ซูขุ่นเคืองใจ ชีวิตของนางในภายภาคหน้าจะไม่ดีอย่างแน่นอน
ฟางจู๋อวิ๋นหวาดกลัวถานอวี้ซูเล็กน้อย หลังจากที่พูดคำนั้นแล้วก็ไม่ได้ใจกล้าและพูดอะไรต่ออีก ได้แต่ขดตัวอยู่ตรงนั้นไม่กล้าเข้าไปและไม่กล้าถอยไป
และเมื่อสายตาจ้องมองไปที่ซูหมิ่น ซูหมิ่นก็หันมามองนางอย่างโล่งใจ ฟางจู๋อวิ๋นผู้นี้ใจกล้ายิ่งนัก ยืดเอวอีกครั้งและพูดอย่างไม่เกรงใจ “จวิ้นจู่ เจ้าคิดคำและเสี้ยนจู่แต่งกลอน อาจเป็นไปได้ว่าพวกเจ้าได้เขียนไว้ล่วงหน้าแล้ว”
เมื่อได้ยินฟางจู๋อวิ๋นพูด ทุกคนก็ได้สติขึ้นมา
ถูกต้อง ฮู้กั๋วจวิ้นจู่และเสี้ยนจู่อันผิงเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แน่นอนว่าพวกนางต้องสมรู้ร่วมคิดกันมาก่อนแล้ว
ทุกคนฮือฮาและชี้ไปที่ทั้งสองอีกครั้ง
“ฮึ! ทำข้าตกใจแทบตาย ข้าคิดว่าคนหนึ่งที่มาจากชนบทจะเก่งเช่นนี้เชียวหรือที่จะแต่งกลอนออกมาได้ ที่แท้ก็แต่งเสร็จนานแล้ว”
“ถูกต้อง ข้าคิดว่าควรเปลี่ยนคน มีใครอยากจะเสนอคำหรือไม่”
เมื่อถานอวี้ซูได้ฟังที่คนเหล่านั้นแสดงความคิดเห็นก็โกรธจนหน้าเขียวขึ้นมา นางกำลังอยากจะเอ่ยปากด่าคนพอดี แต่กู้เสี่ยวหวานหันมาโบกมือให้นางเพื่อไม่ให้นางพูด “ไม่อย่างนั้นก็เชิญแม่นางผู้นี้กล่าวมา ดูสิว่าข้าจะแต่งออกมาได้หรือไม่ ข้ากับแม่นางคนนั้นไม่เคยพบกันมาก่อน คงไม่มีใครมาบอกอีกว่าเราสมรู้ร่วมคิดกัน”
“แต่เมื่อถึงเวลาแล้วแต่งออกมาไม่ได้ อย่าหาว่าคุณหนูอย่างข้ารังแกเจ้า” แม่นางคนนั้นทำหน้ามุ่ยและพูดอย่างไม่พอใจ
จากนั้นก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ สี่ทิศ และพยายามคิดคำยาก ๆ ออกมา
“อันนี้แล้วกัน แต่งจากขนมกุ้ยฮวาชิ้นนี้” คุณหนูผู้นั้นหยิบขนมอบขึ้นมาหนึ่งชิ้นและยิ้มอย่างภูมิใจราวกับว่าจะขอความดีความชอบจากซูหมิ่น นางมองไปทางซูหมิ่นและรอให้ซูหมิ่นส่งสายตามาชมเชย คุณหนูผู้นั้นยิ่งภูมิใจและมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างเย้ยหยัน นางดีใจจนเชิดหน้าขึ้นจะถึงฟ้าแล้ว
กู้เสี่ยวหวานทราบดีว่าพวกนางหัวเราะอะไร
ตอนอยู่ที่เมืองรุ่ยเสียนและเมืองหลิวเจีย นางไม่เคยเห็นใครปลูกต้นกุ้ยฮวาเช่นนี้ คิดว่าต้นไม้ชนิดนี้หาได้ยากและน้อยคนนักที่จะรู้จัก