ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 1449 พี่น้องสู้กัน
บทที่ 1449 พี่น้องสู้กัน
ฟางเพ่ยหยาพยักหน้าและมองรถม้าของถานอวี้ซูที่จากไป จึงหันมามองรถม้าของตัวเองก่อนจะขึ้นรถเตรียมจากไป ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ท่านพี่ ท่านหิวหรือไม่ ที่นี่ยังมีของอร่อยอีกเยอะเลย ท่านพี่ลองชิมหน่อยหรือไม่”
เป็นเสียงของฟางจู๋อวิ๋น ในมือของนางถือกล่องอาหารไว้ เหมือนเป็นของที่อยากให้ฟางเพ่ยหยากินจริง ๆ
นี่เป็นของจากจวนหมิงอ๋องเมื่อครู่ ขนมที่เหลือมากขนาดนั้น ฟางจู๋อวิ๋นตั้งใจนำกลับมาเพราะอยากให้ฟางเพ่ยหยากิน
จริง ๆ แล้วท้องของฟางเพ่ยหยาหิวมาก เมื่อครู่ตอนอยู่ที่งานเลี้ยงก็กังวลเรื่องกู้เสี่ยวหวานมากไปจึงไม่ได้กินอะไร และตอนนี้ก็หิวมากจริง ๆ
แต่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่นางเกลียด ความอยากของฟางเพ่ยหยาก็หายไปทันที ดังนั้นจึงไม่แม้แต่จะมองฟางจู๋อวิ๋นเลย ฟางเพ่ยหยาคร้านที่จะคุยกับนาง จึงไม่ชำเลืองมองและพาสาวใช้เดินจากไป
เมื่อฟางจู๋อวิ๋นเห็นฟางเพ่ยหยาไม่สนใจตน ใบหน้าก็บูดบึ้งขึ้นมา และกล่องอาหารที่ถืออยู่ในมือก็ถูกโยนลงพื้น จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยความโกรธ “พอไว้หน้าก็ไม่รักษาหน้า ข้าตั้งใจเอามาให้เจ้ากินด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับไม่ต้องการ”
ฟางเพ่ยหยาได้ยินเสียงนั้นจึงหันกลับไปมอง และเห็นว่ากล่องอาหารใบนั้นหกคว่ำอยู่บนพื้น ของข้างกระเด็นออกมาข้างนอก
มันกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ยังมีขนมอบบางส่วนถูกฟางจู๋อวิ๋นเหยียบด้วยความโกรธ บนพื้นเต็มไปด้วยเศษขนมที่แตกละเอียด
“ตอนนี้ท่านพี่สนิทสนมกับฮู้กั๋วจวิ้นจู่และยังตัวติดหนึบกับเสี้ยนจู่อันผิง เกรงว่าต่อไปคงยิ่งดูถูกพวกเราพี่น้องแล้ว” ฟางหลานซินถอนหายใจอย่างหดหู่
ฟางจู๋อวิ๋นพยักหน้า “ถูกต้อง นางเป็นคุณหนูใหญ่ เดิมทีก็ไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตา อีกทั้งตอนนี้ยังมีสัมพันธไมตรีกับญาติของราชวงศ์ เจ้าคิดว่าในสายตาพวกนางเห็นพวกเราเป็นอะไร”
“พวกเจ้าก็เหมือนมดข้างเท้าข้า” ทันใดนั้น ฟางเพ่ยหยาหันกลับมาจ้องมองอย่างดุร้าย
ข้าเป็นคุณหนูใหญ่ที่ซื่อตรงของตระกูลฟาง ท่านตาของข้าเป็นขุนนางระดับสี่ของวัดหงลู่ แม่เป็นคุณหนูที่ซื่อตรงของตระกูลที่มียศ แต่ดันไปแต่งงานกับทั่นฮวาหลางคนทะเยอทะยานคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลยและพยายามจะปีนไต่เต้าระดับความสัมพันธ์
ตอนนี้ไอ้ผู้ชายสารเลวนั่นประสบความสำเร็จและมียศมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลของท่านตา ดังนั้นจึงเตะแม่ข้าออกไป และยังรู้ว่าตัวเองรูปงามจึงเก็บแม่ข้าไว้ราวกับว่าเป็นเครื่องบรรณาการและไปแต่งกับหลิวซื่อที่ใบหน้างามกว่าแม่ข้า แต่อย่างอื่นเทียบอะไรแม่ข้าไม่ได้
ยังมีหลิวซื่อและสองพี่น้องตรงหน้า เหมือนความเจ็บปวดอยู่ที่ก้นบึ้งของหัวใจ
ฟางเพ่ยหยากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ และพยายามควบคุมตัวเองที่อยากจะเข้าไปตบตีพวกนางสักครั้ง
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนาง ท่านแม่ก็คงไม่ต้องมีชีวิตที่มืดมนเช่นนี้ ขอเพียงตอนที่ได้พบนางให้นางมีรอยยิ้ม เวลาที่เหลือก็ซ่อนตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหนและไม่พบใคร
“ฮึ! ถูกต้อง พวกข้าเป็นแค่มดข้างกายเจ้า แล้วเจ้าเป็นอะไร เจ้าเป็นอะไรข้างกายฮู้กั๋วจวิ้นจู่ เจ้าดูสิ อ้วนเหมือนหมู ลองดูรูปร่างหน้าตาฮู้กั๋วจวิ้นจู่กับเสี้ยนจู่อันผิงสิ เลือกคนที่ดีได้ตามใจ แต่ดูเจ้าสิ” ฟางจู๋อวิ๋นทำเสียงจุ๊ ๆ สองที ชำเหลืองตามองขึ้นลง และเอ่ยปากเบา ๆ ก่อนที่นางจะหงุดหงิด “ไม่แน่ว่าบางทีฮู้กั๋วจวิ้นจู่และเสี้ยนจู่อันผิงเห็นเจ้ารูปร่างไม่งามจึงตั้งใจเป็นเพื่อนกับเจ้า เพราะเจ้ายิ่งแย่ก็ยิ่งทำให้พวกนางโดดเด่นในสายตาคนอื่น”
“นี่เจ้า”
“อา”
มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมา และฟางจู๋อวิ๋นก็ล้มลงไปที่พื้นปูนจนมีเลือดไหลซึม
“ไม่ว่าใจเจ้าจะชั่วร้ายแค่ไหน แต่อย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจเจ้า” ฟางเพ่ยหยาก้าวไปข้างหน้าและตบหน้าฟางจู๋อวิ๋น เดิมทีนางก็อ้วนและแรงเยอะอยู่แล้ว
การตบครั้งนี้ทำให้ฟางจู๋อวิ๋นล้มลงไปที่พื้น
“นี่เจ้า!” ฟางจู๋อวิ๋นปิดหน้าครึ่งหนึ่งและมองฟางเพ่ยหยาอย่างไม่น่าเชื่อ และตอนที่กำลังจะด่าออกไป ฟางหลานซินก็รีบเข้ามาปิดปากนางทันที
“ต่อไปหากยังกล้าพูดจาไร้สาระอีก ระวังข้าจะฉีกปากเจ้า”
“เจ้ากล้าหรือ ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ” ฟางหลานซินตกใจเพราะถูกข่มขู่ด้วยความโกรธที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
ก่อนหน้านี้ นางอ้วนคนนี้ไม่เคยโต้กลับมาก่อน แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้น อีกทั้งยังเรียนรู้วิธีตบตีคนอีก
อย่างไรก็ตาม พวกนางไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปฟ้องร้อง
“เจ้าไปรายงานเถอะ” ฟางเพ่ยหยาไม่ได้ใส่ใจและจับมือที่ชาเล็กน้อยจากการตบหน้าเมื่อครู่แล้วยิ้มอ่อน ๆ “อย่างนั้นก็ลองดูว่าคุณหนูรองอย่างเจ้าสองคนหรือคุณหนูใหญ่อย่างข้า ใครจะดีไปกว่ากัน เก่งนักก็อย่าใช้ความโปรดปรานของท่านพ่อมาอ้าง ไม่เห็นกฎเห็นสวรรค์ ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะว่า ถ้าข้ายังอยู่ พวกเจ้าก็ยังคงเป็นคุณหนูรอง”
ฟางเพ่ยหยาพูดจบก็มองพวกนางสองคนอย่างดุร้ายและเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเสี่ยวเยว่สาวใช้ข้างกายเห็นคุณหนูมีท่าทางที่มีชีวิตชีวา หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความสุขเช่นกัน
ที่ผ่านมาคุณหนูอ่อนแอเกินไป ไม่ว่าคุณหนูรองสองคนนั้นจะรังแกอย่างไร คุณหนูก็ไม่เคยตอบโต้ แต่วันนี้ไม่เพียงตอบโต้ด้วยวาจาเท่านั้น แต่ยังลงไม้ลงมืออีกด้วย แก้แค้นให้กับความเจ็บช้ำน้ำใจที่ผ่านมา สะใจจริง ๆ!
เพียงแต่…
เสี่ยวเยว่กังวลนิดหน่อย “คุณหนู… ถ้าหากพวกนางกลับไปรายงาน เราจะทำอย่างไร”
นายท่านไม่ชอบคุณหนู หากนายท่านรู้ว่าคุณหนูตบตีลูกสาวอันเป็นที่รักของเขา ไม่รู้ว่าจะลงโทษคุณหนูหรือไม่
ฟางเพ่ยหยาขึ้นรถม้าภายใต้การประคองของเสี่ยวเยว่ และพูดอย่างเหยียดหยาม “ไม่เป็นไร วันนี้ข้าก็ตีไปแล้ว ถ้าหากกลับไปแล้วคนผู้นั้นจะลงโทษข้า ก็ให้เขาลงโทษเถอะ”
จากนั้นก็หลับตาแล้วไม่พูดอะไรอีก
เมื่อนึกถึงท่วงท่าอันสง่างามของเสี้ยนจู่อันผิงในงานเลี้ยงเมื่อครู่แล้ว ในใจก็รู้สึกอิจฉาจริง ๆ
คนเช่นนั้น สง่างามทุกอิริยาบถ คนอื่นยืนอยู่ที่นั่นไม่พูดไม่จา แต่ลักษณะเช่นนี้โดดเด่นเหนือบุคคลอื่น ทำให้คนรอบข้างดูต่ำลง
อีกทั้งตอนโดนซูหมิ่นที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามยั่วยุ นางก็นิ่งเงียบไม่สะทกสะท้าน ยิ้มอย่างชำนาญ และภายใต้รอยยิ้มที่อ่อนนุ่มเหมือนซ่อนมีดไว้ รอเวลาเพื่อลงมือกับซูหมิ่นโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
และตอนสุดท้ายที่คิดคำแต่งกลอน ก็เห็นของบางอย่างบนตัวเสี้ยนจู่อันผิงที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
นั่นคืออะไรกัน? ฟางเพ่ยหยาไม่ค่อยเข้าใจ แต่เห็นนางมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และตอนที่นางแสดงอย่างฉะฉานงามประดุจดอกบัว ฟางเพ่ยหยาจึงรู้ว่าตนเองถูกเสี้ยนจู่อันผิงจับเป็นเชลยศึกแล้ว