ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 145 เข้าเรียนอย่างเป็นทางการ
บทที่ 145 เข้าเรียนอย่างเป็นทางการ
บทที่ 145 เข้าเรียนอย่างเป็นทางการ
อย่างนี้นี่เอง! กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขอบคุณชั่วขณะหนึ่ง
“พี่ฉือโถว รบกวนพี่แล้ว!” กู้เสี่ยวหวานยังคงพูด หากแต่นางไม่ต้องการรบกวนผู้อื่น
“ไม่เป็นไร ท่านแม่บอกว่าวันนี้หนิงเอ๋อร์กับผิงเอ๋อร์จะไปยังสำนักศึกษา คงออกเดินทางแต่เช้าเป็นแน่ ท่านแม่ขอให้ข้ามาที่นี่แต่เช้า เพราะกลัวว่าจะไม่ทันพวกเจ้า โชคดีที่มาทัน” ฉือโถวไม่พูดมาก แต่สิ่งที่เขาพูดมันซาบซึ้งมาก
ท้องฟ้าข้างนอกยังมืดสนิท และใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงตัวเมือง ถ้าเดินไปก็คงเหนื่อยจริง ๆ แต่คราวนี้ดีที่มีเกวียนวัวให้นั่งด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณพี่ฉือโถว!” ต้องรีบเข้าเมืองและซื้อของสักหน่อย!
ช่วงตรุษจีนไม่สะดวกเข้าเมืองเพราะอยู่ในหมู่บ้าน ดังนั้นปีนี้จึงไม่ได้ไปกล่าวคำอวยพรให้อาจารย์สวี และเมื่อวานเทศกาลโคมไฟเพิ่งผ่านพ้นไป พูดตามหลักเหตุผล เวลาไปสำนักศึกษา เราอวยพรปีใหม่แก่ท่านอาจารย์!
เกวียนวัวนั้นเร็วกว่าขา ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามทั้งหมดก็เดินทางมาถึงในเมือง หลังผูกเกวียนไว้แล้ว ฉือโถวก็ไม่ได้ตามไป แต่อยู่ที่เดิมรอพวกเขากลับมา
ตอนนี้สายแล้ว นางจึงไม่แสดงมารยาทใด ๆ กับฉือโถว ลากน้อง ๆ ของตนเองไปสำนักศึกษาอย่างรวดเร็ว
กู้เสี่ยวหวานจำได้ว่าที่ริมถนนของสำนักศึกษาเหมือนจะมีร้านขายของว่างอยู่ จึงได้ซื้อขนมกุ้ยฮวาและขนมโก๋ถั่วเขียว หลังจากรับห่อขนมมาแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ขอให้กู้หนิงอันถือไว้
“นี่สำหรับท่านอาจารย์สวี เมื่อพวกเจ้าพบท่านอาจารย์สวีต้องไปคำนับเขาก่อน รู้หรือไม่” กู้เสี่ยวหวานสอน
“ข้ารู้!” หนิงอันและหนิงผิงพูดพร้อมกัน
กู้เสี่ยวหวานซื้อขนมในร้าน แต่ซื้อไม่มากเท่าไรนัก แล้วยัดขนมส่วนใหญ่ลงในผ้าห่อของหนิงอัน “มีขนมอยู่ในนี้ ถ้าหิวก็กินได้นะ! เข้าใจหรือไม่”
กู้เสี่ยวหวานรู้ดีว่าการเรียนจะกินพลังสมอง เมื่อมีการใช้สมองมากเกินไปก็จะหิวง่ายและเกิดความอยากอาหาร จะเป็นการสะดวกกว่าหากนำของกินติดตัวไปด้วย
“ท่านพี่ พวกเราไม่ต้องการ ท่านเอากลับไปให้น้องสาวกินเถอะ!” หนิงอันพูดและเอาขนมออกจากห่อผ้า
“ไม่ ท่านพี่ไปสำนักศึกษา ท่านพี่ต้องกิน!” ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะพูด กู้เสี่ยวอี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา
กู้เสี่ยวหวานยังกล่าวอีกว่า “ข้าเหลือส่วนของเสี่ยวอี้ไว้แล้ว พวกเจ้าเก็บไว้เถอะ เมื่อเรียนจะทำให้หิว”
เห็นพี่สาวพูดแบบนี้ พวกเขาจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป
ทั้งหมดออกเดินทางอีกครั้งและมาที่หอหนังสืออวี้
หน้าทางเข้าหอหนังสืออวี้มีคนสามคนยืนอยู่ คนที่ดูอาวุโสคือสวีเซียนหลินหรืออาจารย์สวี และอีกคนเป็นสตรีสง่างาม มีใบหน้าที่ดูใจดีที่ยืนอยู่ข้างสวีเซียนหลิน กู้เสี่ยวหวานเดาว่าคงจะเป็นฮูหยินสวี
ถัดจากฮูหยินสวี เป็นชายอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีที่มีคิ้วเรียวยาวและดวงตางดงาม มีความคล้ายคลึงกันระหว่างสวีเซียนหลินกับฮูหยินสวี ดูเหมือนว่าเขาคงเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เสี่ยวเซิ่งจื่อพูดถึง
ที่ทางเข้าหอหนังสืออวี้ ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนคนรับใช้กำลังถือเสาไม้ไผ่ยาวพร้อมประทัดหกเหลี่ยมห้อยอยู่ ขณะที่กู้เสี่ยวหวานเพิ่งมาถึง ก็เห็นร้านค้าเปิดประตูและแทบทุกร้านกำลังถือประทัดอยู่ที่ประตู ถ้าเดาไม่ผิด พวกเขาน่าจะรอฤกษ์เปิดมงคล
กู้เสี่ยวหวานพาเด็กทั้งหมดไปยืนไม่ไกล เดิมทีนางตั้งใจจะรอให้จุดประทัดเสร็จก่อนจะขึ้นไปพบพวกเขา แต่ไม่คาดคิดว่าสวีเซียนหลินจะเห็นพวกเขาและโบกมือให้ “เสี่ยวหวาน หนิงอัน หนิงผิง! รีบมานี่!” หลังจากที่สวีเซียนหลินพูดแล้ว พวกกู้เสี่ยวหวานจึงวิ่งเหยาะ ๆ ไปจนถึงทางเข้าหอหนังสืออวี้
เมื่อพวกกู้เสี่ยวหวานมาถึงด้านหน้าของสวีเซียนหลิน กู้เสี่ยวหวานก็โค้งคำนับและตะโกนว่า “คารวะท่านอาจารย์ คารวะฮูหยินสวี!” กู้หนิงอันและคนอื่นเห็นการกระทำของกู้เสี่ยวหวาน และพวกเขาทั้งหมดจึงทำแบบเดียวกัน
สวีเซียนหลินเห็นว่าเด็ก ๆ ประพฤติในลักษณะเดียวกัน ลูบเคราของเขาและยิ้ม “เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเจ้าที่จะมาที่นี่เช้าขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นักเรียนตามเรามาเปิดประตู แต่พวกเจ้ามาพอดี อย่างนั้นก็มารอฤกษ์มงคลกับข้าและภรรยาเถอะ”
ฮูหยินสวียิ้มด้วยความเอ็นดู “ใช่แล้ว ข้าได้ยินจากอาจารย์ของพวกเจ้าครั้งล่าสุดว่ารับนักเรียนแฝดที่มีความสามารถเข้ามา วันนี้ในที่สุดข้าก็ได้เจอ! เอาล่ะ ลุกขึ้นเถิด! ในอนาคต ถ้าพวกเจ้ามีเรื่องอะไรในชีวิต ก็สามารถมาหาข้าหรืออาจารย์น้อยของเจ้าได้” หลังจากที่ฮูหยินสวีพูดจบ นางก็ชี้ไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ
ชายคนนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยนและป้องมือ[1]ของเขา “ข้าสวีเฉิงเจ๋อ เมื่อพวกเจ้าเพิ่งเข้าเรียน ข้าจะสอนพวกเจ้าก่อน”
สวีเฉิงเจ๋อมีคิ้วคมชัด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ดูแล้วค่อนข้างสบายใจ นอกจากนี้ยังได้ยินจากเสี่ยวเซิ่งจื่อว่าเขาสอบผ่านซิ่วไฉตั้งแต่อายุยังน้อย และเป็นเพราะเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นขุนนาง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขามาสอนหนังสือกับพ่อในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
คนผู้นี้ทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกชื่นชม ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกครั้ง แต่นางไม่คาดคิดว่าจะได้สบกับสายตาของสวีเฉิงเจ๋อเช่นกัน
กู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างสุภาพ จากนั้นสวีเฉิงเจ๋อก็พยักหน้าเมื่อเห็นว่านางยิ้มให้เขา ถือว่าพวกเขาได้พบแล้ว
กู้เสี่ยวหวานรีบดึงแขนเสื้อของพวกหนิงอันและกระซิบว่า “ไปคำนับอาจารย์น้อยสวีเร็ว!”
กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงรีบก้าวไปข้างหน้าและคำนับสวีเฉิงเจ๋อเช่นเดียวกับที่พวกเขาคำนับอาจารย์และภรรยา หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกัน พวกเขาก็หยุดนิ่งเมื่อได้ยินเสียงประทัดประทัด
ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกก้องไปทั่วท้องถนน ถึงฤกษ์อันเป็นมงคลแล้ว!
หลังจากจุดประทัดแล้ว หลายคนก็เข้าไปในบ้าน กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงเข้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการและมอบขนมที่เพิ่งซื้อในร้านค้าเมื่อครู่นี้ให้เขา ซึ่งถือเป็นการมอบตัวเป็นศิษย์อย่างแท้จริง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะเรียนที่สำนักศึกษาด้านหลังหอหนังสือแห่งนี้ ทันทีที่พวกเจ้าเข้าเรียน เฉิงเจ๋อจะเป็นคนสอนพวกเจ้าก่อน!”
เมื่อเห็นท่าทางน้องชายสองคน กู้เสี่ยวหวานก็วางใจและหลังจากคุยอีกสองสามประโยค นางก็พาเสี่ยวอี้จากไป ก่อนจากไปนางก็มอบเงินอีกห้าเหรียญให้หนิงอันและแอบบอกสองพี่น้องว่า “ตอนนี้พวกเจ้าเข้าโรงเรียนแล้ว ต้องใช้เงินเพื่อซื้อกระดาษและพู่กัน อย่าประหยัดนัก ถ้าต้องใช้ก็ใช้เสีย!”
ภายใต้สายตาที่โหยหาของสองพี่น้อง กู้เสี่ยวหวานได้นำกู้เสี่ยวอี้ไปอำลาครอบครัวสวีเซียนหลินและออกจากโรงเรียนไป
สองพี่น้องกู้หนิงอันส่งพวกกู้เสี่ยวหวานออกไปจนกระทั่งร่างของพี่สาวและน้องสาวหายไปกับฝูงชน กู้หนิงผิงก็เช็ดน้ำตาและพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ว่า “ท่านพี่ ในชีวิตของข้าแค่ดีกับพี่สาวก็พอแล้ว ถ้าใครกล้ารังแกท่านพี่ของข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยเขาไป!”
หัวใจของกู้หนิงอันสั่นไหว เขาอ้าปากค้างและต้องการพูด แต่กลับพูดไม่ออก ทำได้แค่ดูทิศทางที่พวกกู้เสี่ยวหวานกำลังออกไปด้วยดวงตาฉายเป็นประกาย
………………………………………………………………………..
[1] การป้องมือหรือเรียกว่าการโค้งคำนับ เป็นพิธีทักทายของชาวฮั่นโบราณ
สารจากผู้แปล
มอบตัวเป็นศิษย์แล้วก็ตั้งใจเรียนนะคะทั้งสองหนุ่ม ให้สมกับเงินที่พี่สาวฝากฝังนะ
ไหหม่า(海馬)